คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1102/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญารวมกันมา หาว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทของโจทก์และนำข้อความเท็จแจ้งพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่นา (แปลงเดียวกัน) ของจำเลย ขอให้ลงโทษและใช้ค่าเสียหาย คดีส่วนอาญา ศาลชั้นต้นสั่งคดีมีมูลเฉพาะข้อหาแจ้งข้อความเท็จ ส่วนเรื่องบุกรุกโต้เถียงกรรมสิทธิ์ว่าเป็นกรณีทางแพ่งก็รับไว้พิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์บุกรุก ขอให้ใช้ค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยในทางแพ่ง ดังนี้ ในส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ศาลก็ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์บุกรุก ซึ่งเป็นละเมิด โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยักย้าย ถอนทำลาย และซ่อนเร้น หลักเขตนาของโจทก์แล้วบุกรุกเข้าไปเพื่อยึดถือเอาที่นาของโจทก์และนำข้อความเท็จแจ้งพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่นาของจำเลย เป็นการละเมิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗,๑๗๒,๑๗๓,๑๗๔ กับขอให้ใช้ราคาหลักเขต ๑๐ บาท ค่าทดแทนในการละเมิด ๕๐๐ บาท และให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องสั่งคดีมีมูลเฉพาะมาตรา ๑๓๗,๑๗๒,๑๗๓ ส่วนเรื่องบุกรุกโต้เถียงกรรมสิทธิ์อันเป็นกรณีทางแพ่งโดยตรง
จำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่าที่นาเป็นของจำเลย โจทก์เป็นฝ่ายบุกรุก ขอให้ยกฟ้องโจทก์และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายที่เข้าทำนาไม่ได้ในปี ๒๕๐๖ จำนวน ๓,๐๐๐ บาท และต่อไปจนกว่าโจทก์จะออกจากที่นา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งทำนองเดียวกับฟ้องเดิม และว่าค่าเสียหายสูงเกินควร
ศาลชั้นต้นฟังว่า นาพิพาทเป็นของจำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์ ขับไล่โจทก์และบริวาร กับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย ๕๐๐ บาท กับต่อไปปีละ ๕๐๐ บาท จนกว่าจะออกจากนาพิพาท
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์รับฟังเจือสมกับที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยครอบครองทำกินมาสิบกว่าปี ปีนี้เองโจทก์เข้าแย่งทำนา จำเลยจึงไปแจ้งความว่าโจทก์บุกรุกเข้าหว่านกล้าในนาจำเลย จำเลยซื้อที่พิพาทจากบิดาโจทก์ ได้รับมอบให้เข้าครอบครองทำกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ที่นี้จึงตกเป็นของจำเลย
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๘ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับพยานเอกสารและพยานบุคคลของจำเลยในทางแพ่ง คดีในส่วนแพ่งของจำเลยก็เท่ากับไม่มีพยานประกอบเลย จำเลยไม่มีทางชนะ ศาลอุทธรณ์จะยกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๔๖ มาปรับกับคดีส่วนแพ่งไม่ได้ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นนี้ไม่มีปัญหาว่าคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวชอบหรือไม่ อย่างไรก็ดี โจทก์ฟ้องทั้งทางแพ่งและอาญารวมกัน จำเลยฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์บุกรุก ขอให้ใช้ค่าเสียหาย ซึ่งในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์บุกรุก ฉะนั้น ในส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๔๖ ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงดังกล่าวว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์บุกรุก ซึ่งเป็นละเมิด และโจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย ส่วนค่าเสียหายควรเป็นจำนวนเท่าใด โจทก์ไม่ฎีกาโต้แย้ง พิพากษายืน

Share