แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นตำรวจประจำกองบังคับการตำรวจดับเพลิง ได้สมคบกับจำเลยอื่นแสดงตัวกับผู้เสียหายว่าเป็นตำรวจ จะจับตัวผู้เสียหายฐานขายยาผิดประเภท แต่จำเลยกลับเรียกเอาเงินจากผู้เสียหาย เพื่อไม่จับกุมดำเนินคดีดังกล่าว จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยจะอ้างว่าเป็นตำรวจดับเพลิง มีหน้าที่ดับเพลิงเท่านั้นไม่มีอำนาจสอบสวนสืบสวนเพื่อจับกุมผู้กระทำผิดอาญาหาได้ไม่เพราะหน้าที่การดับเพลิงนั้นเป็นหน้าที่เฉพาะตามที่ทางราชการแต่งตั้งให้ปฏิบัติ แต่โดยทั่วไปแล้ว จำเลยย่อมมีอำนาจทำการสืบสวนคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อจำเลยได้เรียกและรับเอาเงินจากผู้เสียหาย เพื่อไม่จับกุมดำเนินคดีอาญาฐานขายยาผิดประเภท จำเลยย่อมมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยว่า ได้ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157, 200, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 5, 13 และคืนเงินของกลางให้เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้ง 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษสิบตำรวจโทเสนอ จำเลยที่ 1 ห้าปีจำเลยที่ 2 และ 3 ยกฟ้อง คืนเงินของกลาง 400 บาทให้แก่เจ้าทรัพย์
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3
จำเลยที่ 1 อุทธรณืขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ 1 เป็นตำรวจดับเพลิงมีอำนาจดับเพลิงเท่านั้น หาได้มีอำนาจสอบสวนสืบสวนหรือจับกุมผู้กระทำผิดอาญาไม่จึงไม่มีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 เป็นตำรวจประจำกองบังคับการดับเพลิง และมีหน้าที่แต่ในเรื่องดับเพลิงนั้น เป็นหน้าที่เฉพาะตามที่ทางราชการแต่งตั้งให้ปฏิบัติ แต่โดยทั่วไปแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจทำการสืบสวนคดีอาญาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 17 ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นตำรวจได้เรียกและรับเอาเงินสำหรับตนเอง จากผู้เสียหายเป็นจำนวน 400 บาทเพื่อไม่จับกุมและดำเนินคดีอาญาฐานขายยาผิดประเภท จึงเป็นความผิดดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาชอบแล้ว พิพากษายืน