คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 411/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1(ก)และ(ข) ว่าจำเลยทั้งสามมีกัญชาจำนวน 27.270 กิโลกรัม (ยี่สิบเจ็ดกิโลกรัมสองร้อยเจ็ดสิบมิลลิกรัม)แต่เหตุตามฟ้องข้อ 2 ระบุว่ากัญชาของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์150 กรัม ที่เหลือ 27,120 กรัมนั้น เป็นเพราะความผิดพลาดที่ใส่จุดทศนิยมระหว่างเลข 7 และเลข 1 แทนที่จะใช้เครื่องหมายจุลภาคระหว่างเลขทั้งสองตัวดังกล่าว กรณีเป็นความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยไม่ทำให้เกิดความสับสน ทั้งจำเลยที่ 1 เองก็ต่อสู้ว่ากัญชาของกลางไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบและหลงข้อต่อสู้แต่อย่างใด ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน 2534 เวลากลางวันถึงวันที่ 21 มิถุนายน 2534 เวลากลางวันติดต่อกัน จำเลยทั้งสามร่วมกันนำกัญชาแห้งอัดแท่งอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 จำนวน 23 ห่อ หนัก27.270 กิโลกรัม จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาในราชอาณาจักร โดยจำเลยทั้งสามไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมีกัญชาจำนวน 23 ห่อ หนัก 27.270 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลนกออก อำเภอปักธงชัยจังหวัดนครราชสีมา ตามวันเวลาดังกล่าวเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามพร้อมด้วยกัญชาจำนวนดังกล่าวกับรถยนต์ปิกอัพหมายเลขทะเบียนน-3276 ชลบุรี 1 คัน เป็นของกลาง กัญชาของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์ 150 กรัม ที่เหลือ 27.120 กรัม (ที่ถูก 27.120 กิโลกรัม)เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 7, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 และขอให้ริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 (ที่ถูก26 วรรคสอง) 76 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 ปีริบกัญชาของกลาง ส่วนรถยนต์ปิกอัพหมายเลขทะเบียน น-3276 ชลบุรีไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงไม่ริบ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1แต่เพียงว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ตามฟ้องโจทก์ข้อ 1(ก) และ (ข) อ้างว่ากัญชาของกลางมีน้ำหนัก 27.270กิโลกรัม (ยี่สิบเจ็ดกิโลกรัมสองร้อยเจ็ดสิบมิลลิกรัม) แต่ตามฟ้องโจทก์ข้อ 2 ระบุว่า กัญชาของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์ 150 กรัมที่เหลือ 27.120 กรัม ซึ่งขัดแย้งกันเอง ทำให้จำเลยที่ 1ไม่ทราบว่าน้ำหนักที่เป็นตัวเลขหรือตัวหนังสือถูกต้อง จึงทำให้มีข้อสงสัยว่ากัญชาของกลางมีอยู่จริงหรือไม่ จำนวนเท่าใด จำเลยที่ 1ไม่อาจเข้าใจฟ้องโจทก์ ทำให้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบและหลงข้อต่อสู้จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามฟ้องโจทก์ข้อ 1(ก)และ (ข) ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยทั้งสามมีกัญชาจำนวน 27.270กิโลกรัม (ยี่สิบเจ็ดกิโลกรัมสองร้อยเจ็ดสิบมิลลิกรัม) แต่เหตุที่ตามฟ้องโจทก์ข้อ 2 ระบุว่า กัญชาของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์150 กรัม ที่เหลือ 27.120 กรัม เป็นความผิดพลาดที่ใส่จุดทศนิยมระหว่างเลข 7 และเลข 1 แทนที่จะใช้เครื่องหมายจุลภาคระหว่างเลขทั้งสองตัวดังกล่าว เป็นความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ไม่ทำให้เกิดความสับสน เพราะจำเลยที่ 1 ต่อสู้คดีว่ากัญชาของกลางไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 จึงไม่ทำให้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบและหลงข้อต่อสู้แต่อย่างใดฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share