คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานเอกสารซึ่งโจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียก เป็นเพียงใบสำคัญคู่จ่ายและใบเสร็จรับเงินซึ่งนำส่งในชั้นตรวจสอบไต่สวนอันเป็นเอกสารที่ใช้ประกอบการลงบัญชีของโจทก์เท่านั้น และเหตุที่จำเลยไม่อาจส่งเอกสารดังกล่าวก็เนื่องจากเอกสารสูญหายในช่วงที่จำเลยมีการแบ่งส่วนราชการภายในใหม่ จึงมิใช่กรณีที่จำเลยมีความมุ่งหมายที่จะกีดกันมิให้โจทก์ใช้เอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานทั้งเมื่อจำเลยไม่สามารถส่งเอกสารตามที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกเนื่องจากสูญหาย โจทก์ก็อาจขออนุญาตศาลนำพยานบุคคลมาสืบเกี่ยวกับข้ออ้างได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) จะถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ลงรายการต่าง ๆ ครบถ้วนถูกต้องหาได้ไม่ ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 กำหนดกฎเกณฑ์และวิธีการในการอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานประเมินและการอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลไว้แล้ว เมื่อมีการอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานประเมินรายการใด ย่อมแสดงว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเฉพาะรายการนั้นส่วนรายการใดที่มิได้มีการอุทธรณ์ย่อมแสดงว่าผู้ยื่นเสียภาษีพอใจแล้วเมื่อโจทก์ไม่ยื่นอุทธรณ์รายการใด โจทก์ย่อมหมดสิทธิโต้แย้งในรายการนั้น โจทก์หามีสิทธิรื้อฟื้นการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินนำมาอุทธรณ์ต่อศาลอีกหาได้ไม่ เหล็กแผ่นที่ใช้ทำแบบในการก่อสร้าง โดยสภาพเป็นวัตถุที่คงทนถาวรไม่เสื่อมสภาพโดยง่าย ย่อมสามารถใช้ได้หลายครั้งทั้งตามรายงานการตรวจสอบปรากฏว่าเหล็กแผ่นดังกล่าวมีอายุการใช้งานได้มากกว่า 1 ปี รายจ่ายค่าแผ่นเหล็กดังกล่าวจึงต้องถือว่าเป็นรายจ่ายที่บังเกิดเป็นทุนรอนหรือทรัพย์สินของโจทก์ การที่เจ้าพนักงานประเมินถือว่าเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนและไม่ยอมให้ถือเป็นรายจ่ายทั้งหมดในแต่ละปี โดยเพียงแต่คำนวณหักเป็นค่าเสื่อมราคาให้ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีจึงเป็นการชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ข้อแรกว่า โจทก์ได้ลงรายการต่าง ๆ ในสมุดบัญชีโดยมีเอกสารหลักฐานใบเสร็จหรือใบรับประกอบการลงบัญชีของโจทก์ถูกต้อง สมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีต่าง ๆเป็นเอกสารสำคัญสำหรับการนำสืบพยานหลักฐานของโจทก์ แต่จำเลยไม่อาจส่งศาลตามคำสั่งเรียกทำให้โจทก์ไม่อาจนำสืบข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบโดยเอกสารสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีได้ ต้องถือข้อเท็จจริงว่า โจทก์ลงรายการต่าง ๆ ในสมุดบัญชีถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 124 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าพยานเอกสารซึ่งโจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกนั้น เป็นเพียงใบสำคัญคู่จ่ายและใบเสร็จรับเงินซึ่งนำส่งในชั้นตรวจสอบไต่สวนอันเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารที่ใช้ประกอบการลงบัญชีประจำปี 2518-2521 ของโจทก์เท่านั้น และเหตุที่จำเลยไม่อาจส่งเอกสารดังกล่าวก็เนื่องจากเอกสารสูญหายในช่วงที่จำเลยมีการแบ่งส่วนราชการภายในใหม่จึงมิใช่กรณีที่จำเลยมีความมุ่งหมายที่จะกีดกันมิให้โจทก์ใช้เอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน ทั้งเมื่อจำเลยไม่สามารถส่งเอกสารตามที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกเนื่องจากสูญหาย โจทก์ก็อาจขออนุญาตศาลนำพยานบุคคลมาสืบเกี่ยวกับข้ออ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) จะถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ลงรายการต่าง ๆ ครบถ้วนถูกต้องหาได้ไม่
โจทก์อุทธรณ์ข้อสองว่า ศาลภาษีอากรกลางยกประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เพียง 3 ประเด็น ไม่ได้วินิจฉัยทุกประเด็นตามฟ้องโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลรัษฎากร มาตรา 30 กำหนดกฎเกณฑ์และวิธีการในการอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานประเมินและการอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลไว้แล้วเมื่อมีการอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานประเมินรายการใดย่อมแสดงว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเฉพาะรายการนั้น ส่วนรายการใดที่มิได้มีการอุทธรณ์ย่อมแสดงว่าผู้ยื่นเสียภาษีพอใจแล้วฉะนั้นเมื่อโจทก์ไม่ยื่นอุทธรณ์รายการใดโจทก์ย่อมหมดสิทธิโต้แย้งในรายการนั้น โจทก์หามีสิทธิรื้อฟื้นการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินนำมาอุทธรณ์ต่อศาลอีกหาได้ไม่ จากคำอุทธรณ์ของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.ล.2 แผ่นที่ 32 ถึง 35 โจทก์อุทธรณ์คัดค้านตามความในมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร ในประเด็นเรื่องการตีราคางานก่อสร้างระหว่างทำปลายงวดเรื่องรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(4)(5)(18) และเรื่องการโอนรายรับล่วงหน้าเข้าเป็นรายรับของแต่ละปีเท่านั้น ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องการโต้แย้งคัดค้านว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมายดังนั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางหยิบยกประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เพียง 3 ประเด็น ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการชอบแล้ว หาจำต้องวินิจฉัยตามฟ้องทุกประเด็นดังอุทธรณ์ของโจทก์ไม่
สำหรับรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (5) รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนนั้น โจทก์อ้างว่าเหล็กแผ่นที่ซื้อมาทำแบบส่วนใหญ่จะนำมาตัดกว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร นำมาทำเป็นแบบเมื่อปูนแห้งต้องงัดเหล็กแผ่นออก ทำให้แผ่นเหล็กโค้งงอหมดสภาพไปโดยใช้งานไม่ถึง 6 เดือน หลังจากนั้นก็จะมีสภาพเป็นเศษเหล็กศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ซื้อเหล็กแผ่นดังกล่าวมาเพื่อใช้ทำแบบในการก่อสร้างซึ่งโดยสภาพเหล็กแผ่นเป็นวัตถุที่คงทนถาวรไม่เสื่อมสภาพโดยง่าย เมื่อนำมาใช้ทำแบบในการก่อสร้างย่อมสามารถใช้ได้หลายครั้งนายสว่าง ตั้งนิสสัยตรงพยานโจทก์เองก็เบิกความยอมรับในข้อนี้และตามรายงานการตรวจสอบเอกสารหมาย จ.ล.1 แผ่นที่ 14 ปรากฏว่าเหล็กแผ่นดังกล่าวมีอายุการใช้งานได้มากกว่า 1 ปี ด้วยเหตุนี้รายจ่ายค่าเหล็กแผ่นดังกล่าวจึงต้องถือว่าเป็นรายจ่ายที่บังเกิดเป็นทุนรอนหรือทรัพย์สินของโจทก์ ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินถือว่าเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน และไม่ยอมให้ถือเป็นรายจ่ายทั้งหมดในแต่ละปี โดยเพียงแต่คำนวณหักเป็นค่าเสื่อมราคาให้ในแต่ละรอบ ระยะเวลาบัญชีจึงเป็นการชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share