คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วัสดุก่อสร้างที่จำเลยซื้อและออกเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมเพื่อชำระราคานั้น เป็นของส่วนตัวของโจทก์ร่วม มิได้เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจำกัด พ.ที่โจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการ ดังนั้นเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดและถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายและชอบที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีได้ ส่วนการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ร่วมเรียกเก็บเงินเองและนำสืบในชั้นพิจารณาว่าเรียกเก็บเงินเพื่อฝากเข้าบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด พ.นั้น ก็มิได้แตกต่างกันแต่อย่างใด เพราะการที่โจทก์ร่วมจะนำเงินตามเช็คที่เรียกเก็บเข้าฝากในบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัด พ.ก็เป็นสิทธิของโจทก์ร่วมที่จะทำได้ หาทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด พ.กลายเป็นผู้เสียหายไปไม่
การบันทึกคำร้องทุกข์ของผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งจะจดลงไว้อย่างไรและที่ใด ก็เป็นเรื่องระเบียบภายในของพนักงานสอบสวนซึ่งไม่มีผลกระทบต่ออำนาจในการสอบสวนและดำเนินคดี และในปัญหาที่ว่าเขตรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละแห่งจะมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่เพียงใดนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้โจทก์ร่วมเพื่อชำระหนี้โดยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้และเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ ให้จำคุก ๑๐ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาผู้ตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างโจทก์ร่วมจริงและได้ออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้โจทก์ร่วมไว้ ทั้งข้อความในใบส่งของขายเงินเชื่อเอกสารหมาย จ.๗ ก็ระบุไว้ชัดว่าเป็นการซื้อสินค้าเหล่านั้นไปจากโจทก์ร่วม ตัวโจทก์ร่วมเองก็เบิกความยืนยันว่า วัสดุก่อสร้างที่จำเลยมาขอซื้อนั้นเป็นของส่วนตัวของโจทก์ร่วม มิได้เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อเช็คถึงกำหนดและถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหาย ชอบที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีได้ ส่วนข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาว่าได้นำเช็คพิพาททั้งสองฉบับเรียกเก็บเงินเพื่อฝากเข้าบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. และจำเลยฎีกาว่าเป็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างกับฟ้องซึ่งบรรยายว่าโจทก์ร่วมเรียกเก็บเงินเอง ทั้งพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด พ.เป็นผู้เสียหาย มิใช่โจทก์ร่วม เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวมิได้แตกต่างจากฟ้องแต่อย่างใดเพราะการที่โจทก์ร่วมจะนำเงินตามเช็คที่เรียกเก็บเข้าฝากในบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัด พ.ที่โจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการนั้นก็เป็นสิทธิของโจทก์ร่วมที่จะทำได้ หาทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด พ.กลายเป็นผู้เสียหายไปไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า คำร้องทุกข์ของโจทก์ร่วมตามเอกสารหมาย จ.๕ ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นเพียงบันทึกการมอบคดีและเจ้าหน้าที่มิได้จดแจ้งลงในเบ็ดเสร็จประจำวัน นั้น เห็นว่าเมื่อปรากฏหลักฐานว่า โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานโดยชอบแล้ว พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจดำเนินคดีได้ส่วนการบันทึกคำร้องทุกข์ของผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งจะจดลงไว้อย่างไรและที่ใด เป็นเรื่องระเบียบภายในของพนักงานสอบสวน ไม่มีผลกระทบต่ออำนาจในการสอบสวนและดำเนินคดี
จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ไม่มีอำนาจสอบสวนคดีนี้ เพราะธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาลาดพร้าวซึ่งปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค อันถือเป็นสถานที่เกิดเหตุนั้น อยู่ในเขตสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เขตรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละสถานีตำรวจนั้นจะมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่เพียงใด เป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยไม่นำสืบให้ปรากฏว่า สถานที่เกิดเหตุอยู่นอกเขตท้องที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ลำพังแต่ชื่อของธนาคารที่ระบุว่าเป็นสาขาลาดพร้าวเพียงเท่านี้แล้วจำเลยจะสันนิษฐานเอาว่า สถานที่เกิดเหตุอยู่ในเขตรับผิดชอบของสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว นั้นยังฟังไม่ถนัด ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่า การสอบสวนของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธินเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share