คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตาย ชั้นพิจารณาของศาลจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ขณะสืบพยานจำเลย จำเลยที่ 2 เบิกความว่า ตนเป็นคนฆ่าผู้ตายเพียงคนเดียว ทำให้เห็นเจตนาว่าไม่ประสงค์ให้จำเลยที่ 1 ต้องรับโทษด้วย คำเบิกความของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงไม่ได้ให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ไม่เป็นเหตุลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289, 83, 33 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ประกอบด้วยมาตรา 53 หนึ่งในสามคงให้จำคุก 33 ปี 4 เดือนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและยอมรับสารภาพในชั้นที่เบิกความต่อศาล มีเหตุบรรเทาโทษยิ่งกว่าจำเลยที่ 1 ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วย มาตรา 53 กึ่งหนึ่งคงให้จำคุก 25 ปี ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1) ให้จำคุกตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 1และที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1) ให้จำคุกตลอดชีวิต มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า มีเหตุสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 2 ต่ำกว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ตายโดยจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้เสียและอยู่กินกับจำเลยที่ 1 จนตั้งครรภ์ แล้วจำเลยที่ 2 ขอหย่ากับผู้ตายแต่ผู้ตายไม่ยอมหย่า จำเลยทั้งสองจึงร่วมกันวางแผนฆ่าผู้ตายโดยให้จำเลยที่ 1 เป็นคนใช้เหล็กแป๊บน้ำตีผู้ตาย ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตาย ชั้นพิจารณาของศาล จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ขณะสืบพยานจำเลย จำเลยที่ 2 เบิกความว่า จำเลยที่ 2 คนเดียวเป็นคนฆ่าผู้ตาย โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วย ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวเห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเท่านั้น การที่จำเลยที่ 2เบิกความในชั้นศาลว่า ตนเป็นคนฆ่าผู้ตายเพียงคนเดียว ซึ่งไม่ตรงกับคำให้การชั้นสอบสวนที่ว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายทำให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 ต้องรับโทษด้วย คำเบิกความของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงไม่ได้ให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาแต่ประการใดที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1) นั้นเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะลดโทษให้จำเลยที่ 2 ต่ำกว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาได้อีก ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share