แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่คู่ความแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 60 เป็นการตั้งตัวแทนตาม ป.พ.พ. บรรพ 3 ลักษณะ 15 ว่าด้วยตัวแทน เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม ทนายจำเลยที่ 1 ยังมีอำนาจและหน้าที่จัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ต่อไปจนกว่าทายาทหรือผู้แทนของจำเลยที่ 1 จะอาจเข้ามาปกปักรักษาผลประโยชน์ของจำเลยที่ 1 โดยการเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42
จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2550 ขณะคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ทายาทหรือผู้จัดการมรดกหรือผู้ปกครองทรัพย์มรดกของจำเลยที่ 1 ผู้มรณะซึ่งอาจร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ในการดำเนินคดีของจำเลยที่ 1 ได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 มรณะตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 แต่ไม่มีการร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ตามบทบัญญัติดังกล่าว จนศาลฎีกามีคำสั่งจำหน่ายคดี โดยอ่านคำสั่งให้ทนายจำเลยทั้งสองฟังเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553 และคดีถึงที่สุดไปแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นการล่วงพ้นระยะเวลาที่ตัวแทนหรือทนายจำเลยที่ 1 จะจัดการตาม ป.พ.พ. มาตรา 828 ทนายจำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1 ต่อไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากตึกแถวเลขที่ 640, 642 และ 644 แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร และให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาเฉพาะตามจำนวนทุนทรัพย์ของค่าเสียหายก่อนฟ้อง มิได้ชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ของที่ดินและตึกแถวพิพาทมาด้วย ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกโจทก์และจำเลยทั้งสองมาตีราคาที่ดินและตึกแถวพิพาท และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ดินและตึกแถวพิพาทรวมกับค่าเสียหายก่อนฟ้อง อันเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาให้ครบถ้วน จำเลยทั้งสองมิได้ชำระค่าขึ้นศาลตามคำสั่งของศาลฎีกา ศาลฎีกา ถือว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฎีกา และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกาโดยศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553 และศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์แล้ว
ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลง (ที่ถูก คำร้อง) ฉบับลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555 ว่า จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2550 แล้ว ขอให้ศาลสั่งยกเลิกการบังคับคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 หรือสั่งจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำแถลง (ที่ถูก ยกคำร้อง)
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทนายจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1 ต่อไป และพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ชอบหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ทนายจำเลยที่ 1 ยังไม่หมดสภาพจากการเป็นทนายของจำเลยที่ 1 เพราะไม่มีกฎหมายกำหนดเวลาไว้ว่ากี่ปีทนายจำเลยที่ 1 จะหมดสภาพเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ดังนั้น ตราบใดที่ทายาทยังไม่เข้ามาปกปักรักษาประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ทนายจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจที่จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อปกป้องประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ได้นั้น เห็นว่า แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 จะระบุว่า เมื่อสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปเพราะตัวการตาย ตัวแทนต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์อันเขาได้มอบหมายแก่ตนไป จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะอาจเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้น ๆ ได้ โดยมิได้ระบุระยะเวลาไว้โดยชัดแจ้ง การที่คู่ความแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 เป็นการตั้งตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 15 ว่าด้วยตัวแทน อันต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม ทนายจำเลยที่ 1 ยังมีอำนาจและหน้าที่จัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ต่อไปจนกว่าทายาทหรือผู้แทนของจำเลยที่ 1 จะอาจเข้ามาปกปักรักษาผลประโยชน์ของจำเลยที่ 1 โดยการเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ก็ตาม แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากคำแถลงขอให้เพิกถอนการบังคับคดีและจำหน่ายคดีของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2550 ขณะคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โดยทายาทหรือผู้จัดการมรดกหรือผู้ปกครองทรัพย์มรดกของจำเลยที่ 1 ผู้มรณะซึ่งอาจร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ในการดำเนินคดีของจำเลยที่ 1 ได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 มรณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 แต่ไม่มีการร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จนศาลฎีกามีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยอ่านคำสั่งให้ทนายจำเลยทั้งสองฟังเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553 และคดีถึงที่สุดไปแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นการล่วงพ้นระยะเวลาที่ตัวแทนหรือทนายจำเลยที่ 1 จะจัดการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 ทนายจำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1 ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 มานั้นจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ