แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พยานโจทก์เข้าเบิกความในคดีอีกสำนวนหนึ่งก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรวมพิจารณาพิพากษากับคดีนี้โดยที่โจทก์ไม่สามารถนำตัวพยานปากนี้มาเบิกความอีกได้จนศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตัดพยานปากนี้การเบิกความของพยานปากนี้จึงมิได้กระทำต่อหน้าจำเลยในคดีนี้ไม่อาจรับฟังเพื่อวินิจฉัยคดีในทางเป็นโทษสำหรับจำเลยในคดีนี้ได้ คำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาย่อมเป็นพยานชั้นหนึ่งชอบที่ศาลจะรับฟังคำเบิกความในชั้นพิจารณาเป็นสำคัญ คำให้การชั้นสอบสวนของพยานปากนั้นซึ่งเป็นพยานชั้นสอง จึงมีน้ำหนักน้อย จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยเดินตามหลังผู้ตายกับกลุ่มพวกจำเลยไปห่าง ๆ ต่อมากลุ่มผู้ตายกับกลุ่มพวกจำเลยเข้าทำร้ายซึ่งกันและกัน ผู้ตายจะเข้าทำร้ายน้องชายจำเลย จำเลยจึงเข้าไปช่วยและได้ชกทำร้ายผู้ตายไป 1 ครั้ง และพวกในกลุ่มพวกจำเลยจึงเข้ามาช่วยไล่ชกไล่ตีกลุ่มผู้ตาย จำเลยไม่ได้ติดตามไปด้วยหากแต่เดินเข้าบ้านไป คำให้การของจำเลยเช่นนี้ยังไม่พอฟังว่าจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันฆ่าผู้ตายดังที่โจทก์นำสืบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกร่วมกันทำร้ายนายวัชราจนถึงแก่ความตายโดยเจตนา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 ลดโทษหนึ่งในสามแล้วจำคุก12 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพยานในเหตุการณ์รวม4 ปาก คือ พระภิกษุ (นาย)นิวัฒน์ ปลื้มญาติ นายศักดา คงสมบูรณ์นายมานิตย์ คงสมบูรณ์ และเด็กชายรุ่งอรุณ ลุ่มอ่อน แต่พระภิกษุนิวัฒน์เข้าเบิกความในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1091/2533 ของศาลชั้นต้นก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรวมพิจารณาพิพากษากับคดีนี้โดยที่โจทก์ไม่สามารถนำตัวพยานปากนี้มาเบิกความอีกได้จนศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตัดพยานปากนี้ การเบิกความของพยานปากนี้จึงมิได้กระทำต่อหน้าจำเลยที่ 1 ไม่อาจรับฟังเพื่อวินิจฉัยคดีในทางเป็นโทษสำหรับจำเลยที่ 1 ได้ ส่วนนายศักดาเบิกความว่า พยานกับนางสาวอู๊ดเดินตามผู้ตายกับพวก โดยมีกลุ่มวัยรุ่นที่มีเรื่องกับนายตี๋เล็กเดินคั่นกลาง เมื่อถึงปากซอย เห็นมีคนชุลมุนตีกันแต่ไม่ทราบว่าใครตีกัน สำหรับนายมานิตย์และเด็กชายรุ่งอรุณเบิกความทำนองเดียวกันว่า พยานทั้งสองกลับจากงานเลี้ยงก่อนจึงไม่เห็นเหตุการณ์ที่มีการทำร้ายกัน จากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามปากนี้ไม่มีข้อเท็จจริงตอนใดที่จะบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ส่วนที่ร้อยตำรวจโทประจวบ แสงสีดา พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ชั้นสอบสวน ได้ทำการสอบสวนพยานโจทก์ทั้งสี่ปากร่วมกับพันตำรวจโทนักรบ สุดใจ และได้ทำบันทึกคำให้การของพยานไว้ตามเอกสารหมาย จ.1, จ.17, จ.4 และ จ.9 ตามลำดับ ซึ่งคำให้การชั้นสอบสวนของพยานดังกล่าวฟังประกอบกันได้ความว่า จำเลยที่ 1 ชกหน้าผู้ตาย2 ครั้ง นายก้องพวกของจำเลยที่ 1 ตามมาใช้ท่อนไม้ตีถูกที่แขนซ้ายของนายนิวัฒน์ แล้วหันไปตีผู้ตายถูกที่บริเวณกกหู ผู้ตายทรุดตัวลงกับพื้น แล้วจำเลยที่ 1 กับพวกรุมใช้เท้ากระทืบที่บริเวณใบหน้าและลำตัวผู้ตาย ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อพยานโจทก์ดังกล่าวมาเบิกความในชั้นพิจารณา คำเบิกความนั้นย่อมเป็นพยานชั้นหนึ่ง ชอบที่ศาลจะรับฟังคำเบิกความในชั้นพิจารณาเป็นสำคัญ คำให้การชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ดังกล่าวซึ่งเป็นพยานชั้นสอง จึงมีน้ำหนักน้อยพยานโจทก์คงเหลือแต่คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1ซึ่งพันตำรวจตรีภิรมย์ ปรีดิขนิษฐ์ พนักงานสอบสวนเบิกความว่าจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ พยานได้บันทึกคำให้การไว้ตามเอกสารหมายจ.24 ทั้งจำเลยที่ 1 ได้นำไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.26 และภาพถ่ายการนำชี้ที่เกิดเหตุหมาย จ.28 แต่ในบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.24 นั้น จำเลยที่ 1 ให้ถ้อยคำในรายละเอียดว่าจำเลยที่ 1 เดินตามหลังกลุ่มผู้ตายกับกลุ่มนายหนุ่มไปห่าง ๆต่อมากลุ่มผู้ตายกับกลุ่มนายหนุ่มเข้าทำร้ายซึ่งกันและกันผู้ตายจะเข้าทำร้ายนายก้องน้องชายต่างบิดาของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึงเข้าไปช่วยและได้ชกทำร้ายผู้ตายไป 1 ครั้ง และพวกในกลุ่มนายหนุ่มจึงเข้ามาช่วยไล่ชกไล่ตีกลุ่มผู้ตาย จำเลยที่ 1ไม่ได้ติดตามไปด้วยหากแต่เดินเข้าบ้านไป คำให้การของจำเลยที่ 1เช่นนี้ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1 รับสารภาพว่าได้ร่วมกันฆ่าผู้ตายดังที่โจทก์นำสืบ ทั้งในชั้นพิจารณาก็ยังมีปัญหาโต้แย้งบันทึกคำให้การดังกล่าวโดยจำเลยที่ 1 นำสืบปฏิเสธว่า ที่ให้การรับสารภาพเพราะเจ้าพนักงานตำรวจขู่ว่าจะใช้กระบองไฟฟ้าจี้ และลงชื่อในบันทึกคำให้การโดยไม่ได้อ่าน เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้แน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องก็ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ได้
พิพากษายืน