คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 84/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.วิ.อาญา ม.134 ที่บัญญัติให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบก่อนทำการสอบสวน หมายความว่า กฎหมายต้องการให้ผู้ต้องหารู้ตัวก่อนสอบสวนว่าตนต้องถูกสอบสวนเรื่องอันใดเป็นประธานที่ต้องทำการสอบสวน มิได้หมายความว่าจะต้องแจ้งทุก ๆ กะทงความผิดแม้เดิมจะตั้งข้อหาฐานหนึ่ง แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าเป็นความผิดฐานอื่นด้วย ก็เรียกว่าได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นด้วยแล้ว
เดิมพยานโจทก์ถูกสอบสวนในฐานผู้ต้องหา ต่อมาอัยการผู้สอบสวนพูดว่าจะให้การตามความจริงได้ไหม ถ้าให้การตามความจริงจะเอาเป็นพยาน ๆ โจทก์ปากนี้เกรงว่าจะตกเป็นผู้ต้องหาจึงให้การใหม่ และกลับให้การใหม่เปลี่ยนข้อเท็จจริงโยนบรรดาการกระทำผิดทั้งหลายที่ให้การไว้เดิมอันเป็นข้อพิรุธของตนนั้นให้เป็นการกระทำของจำเลยโดยสิ้นเชิง เช่นนี้เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีการสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา ม.133
จำเลยเป็นอัยการแต่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับคดี แม้จะฟังว่าจำเลยเป็นผู้บอกให้พยานกลับ เมื่อพยานนั้นเป็นพยานที่ศาลหมายเรียกมา ไม่ใช่อัยการนำไปให้ศาลสืบ ดังนั้นการที่จะให้พยานรอเพื่อเบิกความหรือให้กลับย่อมเป็นเรื่องของศาล ทั้งได้ความจากพยานโจทก์ว่าการบอกให้พยานกลับไม่จำเป็นต้องเฉพาะอัยการเป็นผู้บอกทั้งไม่ได้ความว่าจำเลยแสดงต่อพยานนั้นว่าจำเลยเป็นอัยการคงทำหน้าที่นั้นอยู่ ดังนี้จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยยังขืนกระทำการตามตำแหน่งหน้าที่อัยการอันเป็นความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.127 วรรค 2.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า
๑.จำเลยเป็นนายทหารสัญญาบัตรประจำการ กระทำผิด ก.ม.หลายบทหลายกะทงคือ
๒.ระหว่าง ๑ ต.ค.ถึง ๑๗ ธ.ค.๙๔ จำเลยในตำแหน่งอัยการผู้ช่วยศาลทหารกรุงเทพฯมีหน้าที่ไต่สวนและฟ้องดคีอาญา จำเลยทุจริตบังคับเรียกและรับสินบลจากผู้มีชื่อหลายคน เพื่อเป็นเครื่องอุปการะแก่การที่จำเลยจะอาศัยอำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยช่วยเหลือ พลฯสุข พล ฯ มาลี พล ฯ สวัสดิ์ พล ฯ อำพัน ซึ่งกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์มิให้ต้องรับอาญา
๓.เมื่อวันที่ ๑๓ ธ.ค.๙๔ เป็นวันนัดสืบพยานโจทก์คดีดำที่ ๔๒ ก./๒๔๙๔ จำเลยเป็นอัยการมีหน้าที่เป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวได้เพทุบายว่า พล ฯ สวัสดิ์ จำเลยที่ ๒ ป่วยความจริง พล ฯ สวัสดิ์ไม่ป่วย ทั้งนี้โดยจำเลยเจตนาจะประวิงเวลาเพื่อมีเวลาเสี้ยมสอนพยานโจทก์ให้เบิกความผิดพลาดไปจากความจริงเพื่อช่วยเหลือพลทหารทั้ง ๔ มิต้องได้รับอาญา
๔.เมื่อวันที่ ๒๗ ธ.ค.๙๔ เป็นวันที่จำเลยพ้นจากตำแหน่งอัยการผู้ช่วย ฯ ไปแล้วจำเลยยังฝ่าฝืนกระทำการเป็นเจ้าพนักงานในหน้าที่อัยการในคดีดำ ๔๒ ก./๒๔๙๔ โดยเพทุบายบอกให้นายตีพงษ์ นางบุ้นเอง พยานโจทก์ในคดีนั้นซึ่งมาศาลตามนัดให้กลับไปเสีย คนทั้งสองหลงเชื่อจึงกลับไปโดยมิได้เบิกความเป็นเหตุให้ศาลต้องนัดเลื่อนสืบพยานทั้งสองปากนี้
ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญา ม.๑๒๗,๑๓๗,๑๓๘,๑๔๒,๗๑ ฯลฯ
จำเลยให้การปฏิเสธและตัดฟ้องว่า
๑.ฟ้องโจทก์ข้อ ๒ ไม่ระบุวันกระทำผิดและรายละเอียดแห่งข้อหาเป็นฟ้องเคลือบคลุม
๒.การสอบสวนไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อบังคับทหารว่าด้วยระเบียบจัดการทางคดี จึงถือว่ามีการสอบสวนแล้วไม่ได้ เฉพาะฟ้องข้อ ๓,๔ จำเลยมิได้ถูกสอบสวน
๓.เฉพาะอัยการโจทก์เท่านั้นมีอำนาจลงชื่อเป็นโจทก์ตาม พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ม.๘๐ อัยการผู้ช่วยหรือผู้อื่นหามีอำนาจไม่
๔.คดีนี้เป็นคดีปะปนพลเรือนร่วมกระทำผิดไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร
๕.คำสั่งแต่งตั้งอัยการผู้ช่วย เป็นคำสั่งไม่ชอบด้วย ก.ม.
ชั้นแรกศาลทหารกรุงเทพฯ วินิจฉัยข้อตัดฟ้องของจำเลยทุกข้อเป็นคุณแก่โจทก์ ศาลทหารกลางพิพากษากลับคำพิพากษาศาลทหารกรุงเทพฯให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลย คดีจึงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาครั้งแรกศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลทหารกลาง ให้ศาลทหารกลางวินิจฉัยข้อ ก.ม. อื่นและข้อเท็จจริงในท้องสำนวนต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามกระบวนความ ข้อตัดฟ้องของจำเลย ข้อ ๓. ข้อ ๕ เป็นอันยุติ
ศาลทหารกรุงเทพฯ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ๒ กะทงคือฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกและรับสินบลตาม ก.ม.อาญา ม.๑๓๘ วรรคแรกให้จำคุก ๑ ปี ๖ เดือนกะทงหนึ่ง ฐานเป็นเจ้าพนักงานเพทุบายกระทำการที่ไม่ควรกระทำตาม ม.๑๔๒ วรรคแรกให้จำคุก ๔ เดือน อีกกะทงหนึ่ง ฯลฯ
ศาลทหารกลางพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลทหารกรุงเทพฯ ว่าจำเลยมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.๑๒๗ วรรค ๒ ให้จำคุกจำเลยไว้ ๖ เดือน ข้อหาอื่น ๆ นอกจากนี้ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และผู้มีอำนาจสั่งลงโทษฎีกาคนละฉบับมีใจความเช่นเดียวกัน ขอให้ลงโทษจำเลยทุกกะทงเต็มตามฟ้อง ฝ่ายจำเลยฎีกาว่าไม่ควรมีความผิดเลย
ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาจำเลยที่ว่าการสอบสวนจำเลยมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตาม ป.วิ.อาญาและข้อบังคับทหาร ฯ นั้นเห็นว่าเดิมจำเลยรับราชการอยู่ในกรมพระธรรมนูญ ระหว่างนั้นเองกรณีนี้ได้เกิดขึ้น เจ้ากรมพระธรรมนูญซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยในขณะเกิดคดีจึงมีอำนาจสั่งให้ทำการสอบสวนได้
ส่วนข้อฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่าข้อหาตามฟ้องโจทก์ข้อ ๓ ข้อ ๔ จำเลยไม่เคยถูกสอบสวนเลย จึงต้องถือว่าคดีมิได้มีการสอบสวนโจทก์จะฟ้องไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่ได้แจ้งข้อหาให้จำเลยทราบนั้น ได้ความว่าอัยการศาลทหารกรุงเทพฯ ได้ทำการสอบสวนจำเลยในข้อหาว่ากระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกและรับสินบลแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าตาม ป.วิ.อาญา ม.๑๓๔ ที่บัญญัติให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบก่อนทำการสอบสวน หมายความว่า ก.ม.ต้องการให้ผู้ต้องหารู้ตัวก่อนสอบสวนว่าตนต้องถูกสอบสวนเรื่องใดอันเป็นประธานที่ต้องทำการสอบสวน หาได้มีความหมายว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งทุก ๆ กะทงความผิดไม่ แม้เดิมจะต้องข้อหาฐานหนึ่งแต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าเป็นความผิดฐานอื่นด้วยก็ได้ว่าได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นด้วยแล้ว ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๒๑/๒๔๙๔ ระหว่างอัยการศาลทหารกรุงเทพฯ โจทก์ พันตรีสรินทร์ มังคลัษเฐียรกับพวก จำเลย ฎีกาที่ ๕๔๕/๒๔๙๖ ระหว่าง อัยการปากพนัง โจทก์ นายเลื่อน กาญจนโอภาษ จำเลย
ฟ้องของโจทก์ที่หาว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานรับสินบลนั้น ตามหลักฐานพยานท้องสำนวนปรากฏว่าร้อยเอกนวลกับร้อยตรีจรวญอยู่ในฐานเป็นผู้ร่วมสมรู้กระทำผิดด้วยกันกับจำเลย เจ้ากรมพระธรรมนูญจึงถือว่าคนทั้งสองนี้เป็นผู้ต้องหาด้วยขอให้ส่งตัวไปให้อัยการสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง และได้ความจากร้อยเอกนวลว่าก่อนถูกสอบสวนครั้งหลัง พันตรีสุนทรผู้สอบสวนพูดว่าจะให้การเสียใหม่ตามความจริงได้ไหมและชี้ข้อที่ไม่เป็นความจริงให้ดูแล้วว่า ถ้าให้การตามความจริงจะเอาเป็นพยาน ร้อยเอกนวลเข้าใจว่าถ้ายังยืนยันให้การตามเดิมก็จะตกเป็นผู้ต้องหาด้วยเลยให้การใหม่ เจ้ากรมพระธรรรมนูญจึงมีหนังสือถึง ผบ.พล.๑ใหม่ว่า ร้อยเอกนวลและร้อยตรีจรวญให้การใหม่แล้วจึงไม่ถือว่าบุคคลทั้งสองเป็นผู้ต้องหาและได้สอบสวนในฐานะเป็นพยาน ปรากฏว่าโดยเฉพาะร้อยตรีจรวญกลับให้การต่ออัยการผู้สอบสวนใหม่เปลี่ยนข้อเท็จจริงโยนบรรดาการกระทำผิดทั้งหลายที่ให้การไว้เดิมอันเป็นข้อพิรุธของตนนั้นให้เป็นการกระทำผิดของจำเลยโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อาญา ม.๑๓๓ อนึ่งถ้อยคำของร้อยตรีจรวญชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาก็ขัดกันฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์ในข้อหานี้
ฟ้องของโจทก์ในข้อว่าจำเลยได้เพทุบายแสดงต่อศาลว่า พลฯ สวัสดิ์ป่วยมาศาลไม่ได้ซึ่งความจริงมิได้ป่วยเป็นเหตุให้ศาลต้องเลื่อนคดีไปนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพลฯ สวัสดิ์ ป่วยจริงทั้งฟังไม่ได้ว่าจำเลยรับว่าจะไปติดต่อผู้เสียหายอย่างใด จำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้
ส่วนฟ้องของโจทก์ที่ว่าจำเลยยังฝ่าฝืนขืนกระทำการเป็นเจ้าพนักงานนั้น ข้อเท็จจริงยังเถียงกันอยู่ แม้จะฟังตามพยานโจทก์เบิกความศาลฎีกาก็เห็นว่าการที่นายตีพงษ์ นางบุ้นเฮงไปศาลนั้นเพราะศาลหมายเรียก ไม่ใช่อัยการนำไปให้ศาลสืบ ดังนั้นการที่จะให้พยานรอเพื่อเบิกความหรือให้กลับย่อมเป็นเรื่องของศาล และได้ความจากพยานโจทก์ว่า การบอกให้พยานกลับไม่จำเป็นต้องเฉพาะอัยการเป็นผู้บอก ทั้งจำเลยก็มิได้แสดงต่อนายตีพงษ์ นางบุ้นเฮงว่าจำเลยเป็นอัยการคงทำหน้าที่นั้นอยู่ กรณีเป็นดังนี้จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยยังขืนกระทำการตามตำแหน่งหน้าที่อัยการดังโจทก์ฟ้อง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลทหารกลางว่าให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหา.

Share