คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8395/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองจะต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ทันทีเพราะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) ก็ตาม แต่การยื่นอุทธรณ์ดังกล่าวก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นของจำเลยทั้งสองตามมาตรา 226 (2) แล้ว จำเลยทั้งสองจึงอุทธรณ์ปัญหาข้อนี้ได้เมื่อคดีเสร็จการพิจารณาและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ เป็นเหตุให้คดีถึงที่สุดและสิทธิการดำเนินคดีของจำเลยทั้งสองสิ้นสุดลงเช่นนี้ จึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่ามีเหตุสมควรเรียกนาง บ. ผู้จัดการมรดกของ ค. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมหรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,301,483.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,747,231.88 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันไถ่ถอนทรัพย์จำนอง
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เรียกนางบังอร ผู้จัดการมรดกของนายคำปัน เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต แต่ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การฟ้องคดีนี้ เป็นการฟ้องหนี้ของกองมรดกจำเลยทั้งสองในฐานะทายาทโดยธรรมไม่จำต้องรับผิดเกินไปกว่าทรัพย์มรดกที่ตนได้รับจึงไม่มีเหตุที่จะเรียกนางบังอรเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ให้เพิกถอนคำสั่งเรียกนางบังอรเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเสีย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งที่ให้เพิกถอนคำสั่งเรียกนางบังอรเข้ามาเป็นจำเลยร่วม เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาล (ที่ถูก ชั้นอุทธรณ์) ให้จำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันผู้จำนอง และทายาทโดยธรรมของนายคำปัน และจำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายคำปัน ร่วมกันชำระเงิน 2,301,483.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,747,231.88 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 กันยายน 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 9765, 14455, 14457, 14537 และ 36461 ตำบลบ้านแม อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายคำปัน และจำเลยที่ 2 ไม่จำต้องรับผิดเกินกว่ากองทรัพย์สินของนายคำปัน โดยให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความจากกองทรัพย์สินของนายคำปัน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งเพิกถอนคำสั่งเรียกนางบังอรทองต้นหรือนันทพงษ์เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เรียกนางบังอร ผู้จัดการมรดกของนายคำปัน เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต แต่ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ แล้วศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง จำเลยทั้งสองจึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวอีก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่รับวินิจฉัยให้ เนื่องจากเห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้
คดีมีประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองว่า อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับนั้น ถือว่าจำเลยทั้งสองได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนคำสั่งเรียกนางบังอรเข้ามาเป็นจำเลยร่วมแล้วหรือไม่ เห็นว่า ในอุทธรณ์คำสั่งฉบับดังกล่าวจำเลยทั้งสองระบุไว้ชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยทั้งสองไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นอย่างไร เพราะเหตุใด แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ทันที เพราะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1) ก็ตาม แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นของจำเลยทั้งสองตามมาตรา 226 (2) แล้ว จำเลยทั้งสองจึงอุทธรณ์ในปัญหานี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่รับวินิจฉัยมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ เป็นเหตุให้คดีถึงที่สุดและมีผลทำให้สิทธิในการดำเนินคดีของจำเลยทั้งสองสิ้นสุดลงเช่นนี้ จึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยในประเด็นว่า มีเหตุสมควรเรียกนางบังอรผู้จัดการมรดกของนายคำปันเข้ามาเป็นจำเลยร่วมหรือไม่ตามที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share