แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การกระทำที่จะครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต แต่กรณีตามฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ปรากฏว่า เงินจำนวนที่จำเลยทั้งสองเบิกถอนไปเป็นเงินที่อยู่ในบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ 1 ที่ฝากไว้กับจำเลยทั้งสองเงินจำนวนดังกล่าวจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับฝากย่อมมีสิทธิที่จะบริหารจัดการเงินฝากจำนวนดังกล่าวนั้นประการใดก็ได้ จำเลยทั้งสองคงมีหน้าที่เพียงต้องคืนเงินฝากตามจำนวนที่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นลูกค้านำเข้าฝากไว้เท่านั้น โดยจำเลยทั้งสองไม่จำต้องส่งคืนเป็นเงินจำนวนอันเดียวกับที่ฝากไว้ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองเบิกถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ 1 จึงมิใช่เป็นการเอาทรัพย์ของโจทก์ทั้งสองไป การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง
ข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ ฯ มาตรา 12 (9) บัญญัติห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดไว้ว่า “กระทำการใด ๆ อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือแก่ประโยชน์ของประชาชน หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน หรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัด ตัดตอนทางเศรษฐกิจ…” เป็นการบัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ กับเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวม อันเป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนไม่ใช่ผู้เสียหายในกรณีธนาคารพาณิชย์กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ ฯ มาตรา 12 (9) โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2526 เวลากลางวัน จนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2550 เวลากลางวัน ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน จำเลยทั้งสองร่วมกับพวกกระทำความผิดด้วยการใช้กลอุบายลักทรัพย์เอาเงินจำนวน 500,000 บาท ของโจทก์ที่ 1 ไปโดยทุจริต โดยลงข้อความเท็จในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ 1 และจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จว่า โจทก์ที่ 1 นำเช็คของบุคคลอื่นจำนวน 500,000 บาท มาขายลดให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วนำเงินจำนวนดังกล่าวมาชำระหนี้ขายลดเช็คฉบับอื่นจำนวนเงิน 500,000 บาท แล้วจำเลยทั้งสองเบิกถอนเงินจำนวนดังกล่าวและเอาไปโดยทุจริตทำให้โจทก์เสียหายไม่มีเงินคงเหลืออยู่ในบัญชี การกระทำของจำเลยเป็นการเอาเปรียบโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นลูกค้าอย่างไม่เป็นธรรม เหตุเกิดที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสำนักพลับพลาไชย แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานครและแขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7), 50, 83, 84, 90, 91 พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 12 (9), 44, 46, 46 ทวิ, 46 นว (1), (3) ให้มีคำสั่งห้ามจำเลยที่ 1 ประกอบการธนาคารพาณิชย์เป็นเวลา 5 ปี
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การเบิกถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ 1 มิใช่การเอาทรัพย์ของโจทก์ที่ 1 ไป ไม่มีมูลเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ และสำหรับข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 12 (9) รัฐเป็นผู้เสียหาย โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองประการแรกว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ โดยโจทก์ทั้งสองฎีกาว่าเงินที่จำเลยทั้งสองเบิกถอนไปจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ 1 นั้นเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของโจทก์ทั้งสอง มิได้เป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตจึงมีมูลความผิดอาญาฐานลักทรัพย์นั้น เห็นว่า การกระทำที่จะครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต แต่กรณีตามฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ปรากฏว่าเงินจำนวนที่จำเลยทั้งสองเบิกถอนไปเป็นเงินที่อยู่ในบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ 1 ที่ฝากไว้กับจำเลยทั้งสอง เงินจำนวนดังกล่าวจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับฝากย่อมมีสิทธิที่จะบริหารจัดการเงินฝากตามจำนวนดังกล่าวนั้นประการใดก็ได้จำเลยทั้งสองคงมีหน้าที่เพียงต้องคืนเงินฝากตามจำนวนที่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นลูกค้านำเข้าฝากไว้เท่านั้น โดยจำเลยทั้งสองไม่จำต้องส่งคืนเป็นเงินจำนวนอันเดียวกับที่ฝากไว้ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองเบิกถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ 1 จึงมิใช่เป็นการเอาทรัพย์ของโจทก์ทั้งสองไป การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง ฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ทั้งสองประการต่อมาว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 12 (9) หรือไม่ โดยโจทก์ทั้งสองฎีกาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการกระทำอันเป็นการเอาเปรียบโจทก์ทั้งสองอย่าไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายไม่มีเงินคงเหลืออยู่ในบัญชีเงินฝากดังกล่าว ทั้งตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 12 (9) ก็ไม่ได้บัญญัติให้รัฐเป็นผู้เสียหายแต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นลูกค้าของจำเลยทั้งสอง และเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งสอง ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้นั้น เห็นว่า ข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 12 (9) บัญญัติห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดไว้ว่า “กระทำการใด ๆ อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือแก่ประโยชน์ของประชาชนหรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน หรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ…” เป็นการบัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ กับเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวม อันเป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนไม่ใช่ผู้เสียหายในกรณีธนาคารพาณิชย์กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 12 (9) โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน