แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยทั้งสองยินยอมชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้องพร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องที่คู่ความตกลงกันไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดจากจำเลยทั้งสองได้ตามประกาศกระทรวงการคลังและสัญญากู้เงิน สัญญาประนีประนอมยอมความจึงมิได้ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ศาลชั้นต้นต้องพิพากษาไปตามนั้น จะลด อัตราดอกเบี้ยเพราะเหตุที่เห็นว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วนมิได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยทั้งสองยินยอมชำระเงินจำนวน 2,644,228 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,098,925.23 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสองตกลงชำระเงินแก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 33,000 บาท เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 16 กรกฎาคม 2543 และงวดต่อไปทุกวันที่ 16 ของเดือน จนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสองยินยอมชำระเงินค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความแทนโจทก์จำนวน 6,000 บาท หากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งหรือผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมดยินยอมให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
ศาลชั้นต้นพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแล้วเห็นว่า ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น คืนค่าขึ้นศาลให้แก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษเป็นเงิน 59,500 บาท แต่ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดอัตราร้อยละ 19 ต่อปีนั้น เป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจการเงินในปัจจุบันประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอื่นคิดจากผู้กู้ยืมหรือให้ดอกเบี้ยแก่ผู้มีเงินฝากในอัตราต่ำมาก เห็นสมควรให้คิดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีเท่านั้น
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจพิพากษาลดอัตราดอกเบี้ยที่คู่ความตกลงกันในสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิศดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความเหล่านั้นไว้แล้วพิพากษาไปตามนั้น” ดังนี้ การที่จำเลยทั้งสองยินยอมชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้องย่อมเป็นการประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดี เมื่อปรากฏว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องที่คู่ความตกลงกันไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดจากจำเลยทั้งสองได้ตามประกาศกระทรวงการคลังและสัญญากู้เงินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5และหมายเลข 6 สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงมิได้เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ศาลชั้นต้นย่อมต้องพิพากษาไปตามนั้นจะใช้ดุลพินิจพิพากษาลดอัตราดอกเบี้ยที่คู่ความตกลงกันเพราะเหตุที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วนย่อมมิได้อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น