แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นสองตอน ตอนแรกว่าจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนด้วยข้อความอย่างหนึ่งตอนที่สองว่า จำเลยเบิกความต่อศาลด้วยข้อความอีกอย่างหนึ่งไม่ตรงกัน สรุปลงท้ายโจทก์บรรยายว่า จำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จเพราะความจริงเป็นดังจำเลยเบิกความต่อศาล หรือมิฉะนั้น จำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จเพราะความจริงเป็นดังจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวน โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดว่าจำเลยกระทำความผิดฐานใด การที่บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จหรือมิฉะนั้น จำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จ เป็นฟ้องที่ขัดกันไม่ยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยให้แน่นอน ทั้งฟ้องโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงใดเป็นความเท็จข้อเท็จจริงใดเป็นความจริง การกระทำของจำเลยต้องมีข้อเท็จจริงเป็นความเท็จหรือเป็นความจริงเพียงอย่างเดียว มิใช่เป็นได้ทั้งสองอย่างดังที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องเช่นนั้นฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)(อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2372/2519 ประชุมใหญ่ครั้งที่ 21/2519)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพยานสำคัญในคดีอาญาซึ่งจำเลยในคดีนั้นถูกฟ้องในข้อหาว่าจ้างวานใช้ร่วมกันฆ่านายเซิงตายโดยเจตนาและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งจำเลยแจ้งข้อความให้การในฐานะพยานต่อพนักงานสอบสวนว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2520 จำเลยไปเที่ยวงานและกลับมาถึงบ้านเวลา 5 ทุ่มเศษ ต่อมาเวลาเที่ยงคืนเศษนายสมหวังกับพวกขึ้นมาบนบ้านจำเลย นายสมหวังบอกกับจำเลยว่าขอให้นายหลอดนอนที่บ้านจำเลย เมื่อนายหลอดเข้านอนเห็นเอาปืนขนาด 9 มม. (ซุปเปอร์) ออโตเมติค) ออกมาจากเอววางไว้หัวนอน ปืนกระบอกนี้เคยเห็นมาก่อนเป็นปืนของนายสุรพงศ์ เช้าวันรุ่งขึ้นจำเลยทราบว่านายเซิงถูกยิงตาย ได้ยินนายประเสริฐ นางนกเล็กพูดว่านายหลอดเป็นคนยิงนายเซิงตายโดยนายประเสริฐเป็นคนวางแผน และได้เห็นนายประยงค์มาขอรับเงินจากนายประเสริฐโดยอ้างว่านายหลอดใช้ให้มารับ นายประเสริฐจ่ายเงินให้ไป 10,000 บาท นายประเสริฐบอกให้นายสุรพงศ์เอาปืนไปล้าง แช่น้ำมันโซล่า แล้วเอาไปซ่อนอย่าให้ตำรวจค้นได้พนักงานสอบสวนจดบันทึกถ้อยคำของจำเลยไว้ อ่านให้ฟังจำเลยรับว่าถูกต้อง ได้ลงลายมือชื่อเป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยสาบานตัวแล้วเบิกความเป็นพยานต่อศาลในการพิจารณาคดีอาญาดังกล่าวว่า จำเลยไปเที่ยวงานและกลับมาถึงบ้านประมาณ 5 ทุ่มเศษ ไม่มีใครมาบ้านจำเลย ไม่ได้ยินใครพูดว่าใครเป็นคนยิงนายเซิงไม่เคยเห็นมีการให้เงิน ไม่มีการเอาปืนไปดู ฯลฯ คำเบิกความของจำเลยในชั้นศาลไม่ตรงกับข้อความที่จำเลยแจ้งข้อความและคำให้การชั้นสอบสวน ทั้งนี้จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา ซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีอาญาดังกล่าวแก่พนักงานสอบสวนความจริงเป็นดังที่จำเลยเบิกความต่อศาล และข้อความเท็จนั้นอาจทำให้นายประเทือง ผู้เสียหาย กรมตำรวจ กรมอัยการพนักงานสอบสวนได้รับความเสียหาย หรือมิฉะนั้น จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล ซึ่งเป็นข้อความสำคัญในคดีอาญานั้น ความจริงเป็นดังจำเลยให้การไว้ในชั้นสอบสวน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172, 177
จำเลยให้การรับสารภาพฐานเบิกข้อความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177, 181 ลงโทษตามมาตรา 181 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง จำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นคำฟ้องไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องเป็นสองตอน ตอนแรกว่า จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนข้อความอย่างหนึ่ง ตอนที่สองว่า จำเลยเบิกความต่อศาลด้วยข้อความอีกอย่างหนึ่ง ไม่ตรงกัน สรุปลงท้ายโจทก์บรรยายว่าจำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จ เพราะความจริงเป็นดังจำเลยเบิกความต่อศาล หรือมิฉะนั้น จำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จ เพราะความจริงเป็นดังจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดว่าจำเลยกระทำความผิดฐานใด การที่บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จหรือมิฉะนั้นจำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จ เป็นฟ้องที่ขัดกัน ไม่ยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยให้แน่นอน ทั้งฟ้องโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงใดเป็นความเท็จข้อเท็จจริงใดเป็นความจริง การกระทำของจำเลยต้องมีข้อเท็จจริงเป็นความเท็จหรือเป็นความจริงเพียงอย่างเดียว มิใช่เป็นได้ทั้งสองอย่าง ดังที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องเช่นนั้น ฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
พิพากษายืน