คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8308/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ดิ้นรนขัดขืนไม่ยอมให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมโดยดีจำเลยที่ 2 ไม่ได้ต่อสู้ขัดขวางการจับกุม ฮ. แต่เพียงผู้เดียวทำร้ายสิบตำรวจเอก อ. ตามพฤติการณ์เป็นการตัดสินใจกระทำไปตามลำพังของจำเลยแต่ละคนโดยมิได้คบคิดกัน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิด จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ดังนั้น จึงปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสองเท่านั้น จะปรับบทตามมาตรา 140 วรรคหนึ่งซึ่งเป็นบทลงโทษผู้กระทำความผิดโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามที่โจทก์ฟ้องไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกอีกหนึ่งคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันคือ จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันผลิตโดยการแบ่งบรรจุเฮโรอีนดังกล่าวออกบรรจุถุง 13 ถุง นำไปซุกซ่อนในปกหนังสือเพื่อเตรียมนำส่งออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกัน ชกต่อย ถีบ ฉุด กระชากผลัก ต่อสู้ขัดขวาง และทำร้ายสิบตำรวจเอกอนุชา ไวยรูป กับพวก เจ้าพนักงานตำรวจกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ขณะเข้าตรวจค้นที่พักและจับกุมจำเลยทั้งสามกับพวก โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้สิบตำรวจเอกอนุชากับพวกได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 138, 140, 391 ริบของกลาง เว้นแต่ภาพถ่ายใบเสร็จรับเงินและตั๋วโดยสารเครื่องบินให้คืนเจ้าของ

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิต เฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 3มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 140 วรรคหนึ่งจำคุกคนละ 1 ปี อีกกระทงหนึ่ง เมื่อรวมโทษทุกกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (ที่ถูกมาตรา 91(3)) แล้ว คงให้จำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว ริบของกลาง เว้นแต่ภาพถ่ายใบเสร็จรับเงินและตั๋วโดยสารเครื่องบินให้คืนเจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2539 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสามได้ที่สุริวงศ์บ้านเช่า แขวงสี่พระยา เขตบางรักกรุงเทพมหานคร พร้อมยึดเฮโรอีนบรรจุถุงพลาสติก 13 ถุง น้ำหนักรวม 1,376กรัม คำนวณเป็นปริมาณสารบริสุทธิ์ 1,161 กรัม จากห้อง 206 และของกลางอื่นตามฟ้อง โดยในการจับกุมครั้งนี้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามแต่เพียงว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์ หน่องพงษ์ และสิบตำรวจเอกอนุชา ไวยรูป เจ้าพนักงานตำรวจกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดผู้จับกุมจำเลยทั้งสามเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2539 ร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์ได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีชาวต่างประเทศผิวดำชื่อนายไมเคิลพักอยู่ที่สุริวงศ์บ้านเช่าเป็นผู้ค้ายาเสพติด ร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์จึงให้สิบตำรวจเอกอนุชาร่วมตรวจสอบจนทราบว่าชาวต่างประเทศดังกล่าวคือจำเลยที่ 1 พักอยู่ที่ห้อง 501 ต่อมาได้รับแจ้งจากสายลับว่า จำเลยที่ 1 ลักลอบนำเฮโรอีนออกนอกประเทศโดยว่าจ้างสตรีผิวดำ ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 12 นาฬิกา สายลับคนเดิมมาแจ้งว่า ในวันนั้นเวลา 23.30 นาฬิกา สตรีผิวดำชื่อนางดอร์รีสพักอยู่ห้อง 206 ซึ่งจำเลยที่ 1เป็นผู้เช่า จะรับจ้างจำเลยที่ 1 นำเฮโรอีนออกนอกประเทศ โดยเดินทางไปกับสายการบินเค.แอล.เอ็ม เที่ยวบิน เคแอล 806 ไปกรุงอัมสเตอร์ดัมประเทศสาธารณรัฐเนเธอร์แลนด์ พยานทั้งสองกับพวกจึงเดินทางไปที่สุริวงศ์บ้านเช่าโดยแต่งกายนอกเครื่องแบบไปถึงสุริวงศ์บ้านเช่าเวลา17 นาฬิกา ติดต่อกับนางสาวศิริมา ยานะ ผู้ดูแลกิจการห้องเช่า แล้วซุ่มสังเกตการณ์จนถึงเวลาประมาณ 19 นาฬิกา จึงไปที่ห้อง 206 พบจำเลยที่ 1ที่หน้าห้อง ลักษณะเหมือนเพิ่งออกจากห้อง 206 จึงให้นางสาวศิริมา เคาะประตูเรียกผู้ที่อยู่ในห้อง 206 เมื่อประตูห้องเปิดแล้วพบจำเลยที่ 2 ที่ 3และนางฮาร์เจีย มาเรียมาร์ ไชดู อยู่ในห้อง ร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์ แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ นางฮาร์เจียต่อสู้ขัดขวางทำร้ายร่างกายสิบตำรวจเอกอนุชาแล้วหลบหนีไปได้ นางสาวศิริมาพยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็เบิกความยืนยันว่าในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นห้อง 206นางสาวศิริมาเป็นผู้นำตรวจค้น แม้นางสาวศิริมาจะเบิกความว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปตรวจค้นพบจำเลยทั้งสามกับหญิงอีกคนหนึ่งที่หลบหนีไปได้อยู่ในห้อง 206 แตกต่างไปจากที่ร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์และสิบตำรวจเอกอนุชาเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ยืนอยู่หน้าห้องลักษณะเหมือนเพิ่งออกมาจากห้อง 206 ก็เป็นข้อแตกต่างในรายละเอียดเพราะได้สาระสำคัญตรงกันว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสามได้ที่ห้อง 206นั่นเอง จากการตรวจค้นห้อง 206 ร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์กับพวกพบเฮโรอีนบรรจุถุงพลาสติกสีชมพูขนาดกว้างประมาณ 7 นิ้ว ยาวประมาณ10 นิ้ว ปิดหุ้มด้วยสกอตเทปสีน้ำตาลน้ำหนักถุงละประมาณ 135 กรัม10 ถุง เฮโรอีนบรรจุถุงพลาสติกสีชมพูขนาดกว้าง 4 นิ้ว ยาว 7 นิ้วน้ำหนักถุงละประมาณ 65 กรัม 2 ถุง ซุกซ่อนอยู่ในหนังสือปกหน้าและปกหลัง 6 เล่ม กับเฮโรอีนบรรจุถุงพลาสติกสีขาวน้ำหนักประมาณ 65 กรัม1 ถุง ของกลางดังกล่าววางอยู่บนเตียง นอกจากนี้พบสกอตเทปสีน้ำตาล3 ม้วน ถุงพลาสติกสีชมพูลักษณะเดียวกับที่ใช้บรรจุเฮโรอีน 40 ถุง มีดคัดเตอร์ 3 เล่ม กาวกระป๋อง 2 กระป๋อง ถุงพลาสติกใสสีขาว 100 ถุง ไม้บรรทัด 2 อัน เทียนไข 6 เล่ม ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า ซึ่งของกลางเหล่านี้สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการบรรจุเฮโรอีนซุกซ่อนในปกหนังสือได้และจากการนำจำเลยที่ 1 ไปตรวจค้นห้อง 501 ก็พบใบเสร็จรับเงินค่าเช่าห้อง 206 ด้วยเหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสามได้ก็น่าเชื่อว่าได้รับแจ้งถึงการกระทำผิดจากสายลับ มิฉะนั้นย่อมไม่อาจเข้าจับกุมจำเลยทั้งสามซึ่งอยู่ในห้องเช่าส่วนตัวได้พร้อมของกลาง แม้โจทก์มิได้อ้างสายลับมาเบิกความก็ไม่ทำให้น้ำหนักคำพยานโจทก์ลดน้อยไป เพราะโจทก์มีเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมซึ่งเป็นประจักษ์พยาน โดยตรงมาเบิกความต่อศาลอยู่แล้ว เฮโรอีนของกลางที่ตรวจยึดได้จากห้องที่เกิดเหตุมีปริมาณมากคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ถึง 1,161 กรัม ผู้กระทำผิดที่ครอบครองเฮโรอีนของกลางต้องได้รับโทษสูง ถ้าจำเลยทั้งสามไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นในการครอบครองหรือซุกซ่อนเฮโรอีนของกลางเข้าไปในปกหนังสือ ก็ไม่มีเหตุที่ผู้กระทำผิดจะกล้าให้เข้าไปในห้อง 206 ทำให้มีโอกาสรู้เห็นการกระทำผิดได้พฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามร่วมเป็นตัวการมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พยานจำเลยทั้งสามที่นำสืบว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเฮโรอีนของกลางไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเป็นความจริงได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง ข้อหาความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ซึ่งศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสอง, 140 วรรคหนึ่ง นั้น ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ดิ้นรนขัดขืนไม่ยอมให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมโดยดี จำเลยที่ 2 ไม่ได้ต่อสู้ขัดขวางการจับกุม นางฮาร์เจียแต่ผู้เดียวทำร้ายสิบตำรวจเอกอนุชา ตามพฤติการณ์เป็นการตัดสินใจกระทำไปตามลำพังของจำเลยแต่ละคนโดยมิได้คบคิดกัน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิด จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ดังนั้น จึงปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง เท่านั้น จะปรับบทตามมาตรา 140 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทลงโทษผู้กระทำความผิดตามมาตรา 138 วรรคสอง โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามที่โจทก์ฟ้องไม่ได้ ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 ได้”

พิพากษาแก้เป็นว่า ข้อหาความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share