คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8304/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับชำระหนี้ตามเช็คอันมีมูลหนี้มาจากการซื้อขายหุ้นในบริษัท ก. ตั้งอยู่ที่จังหวัดปัตตานี ส่วนจำเลยให้การว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการติดตามลูกหนี้ของบริษัท ก. จึงเห็นได้เหตุที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิเป็นหนี้เกี่ยวกับกิจการของบริษัท ก. ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นศาลมูลคดีเกิดด้วยศาลหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปัตตานี
อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นที่ว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลชั้นต้นหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาฟังว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นและต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ ปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ที่ว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นหรือไม่จึงเป็นคดีปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามตารางท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ (2)(ก)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. 2539 จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาท่าพระ จำนวนสามฉบับเพื่อชำระหนี้ที่จำเลยติดค้างและต้องชำระหรือรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์จากการที่จำเลยได้ขายกิจการหรือหุ้นในบริษัทเกษมกิจปัตตานีปลาป่นจำกัด จำนวนสามฉบับ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อถึงกำหนดระยะเวลาตามที่ตกลงกัน โจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายได้ลงวันเดือนปีในเช็คโดยชอบแล้วนำเช็คทั้งสามฉบับเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขากันตัง เพื่อเรียกเก็บแทนตามวิธีการของทางธนาคาร แต่ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสามฉบับ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 1,177,897 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 1,125,604 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาจำเลยถึงแก่กรรม นางมาลัย วิเชียรเกื้อ ทายาทของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องโจทก์ โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คมูลคดีเกิดที่ศาลแพ่งธนบุรีและจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยตรงว่า ศาลชั้นต้นเป็นศาลมูลคดีเกิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1)หรือไม่ เห็นว่า ศาลมูลคดีเกิดหมายถึง ศาลที่เกี่ยวข้องกับเหตุที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับชำระหนี้ตามเช็ค อันมีมูลหนี้มาจากการซื้อขายหุ้นในบริษัทเกษมกิจปัตตานี จำกัด ตั้งอยู่ที่ถนนนาเกลือ อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ส่วนจำเลยให้การว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ เพื่อเป็นประกันการติดตามลูกหนี้ของบริษัทดังกล่าว จึงเห็นได้ว่าเหตุที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิเป็นหนี้เกี่ยวกับกิจการของบริษัทเกษมกิจปัตตานี จำกัด ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงเป็นศาลมูลคดีเกิดด้วยศาลหนึ่งโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีนี้ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น

อนึ่ง อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นที่ว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลชั้นต้นหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาฟังว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลชั้นต้นและต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ ดังนั้น ปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ที่ว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นหรือไม่จึงเป็นคดีปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาทตามตารางท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2(ก)เมื่อปรากฏว่า โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเกินมาจึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินนี้แก่โจทก์”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ ค่าขึ้นศาลที่ชำระเกินมาในชั้นนี้ให้คืนแก่โจทก์

Share