คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4513/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ธนาคารจำเลยนำเช็คของจำเลยที่ 1 เข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินแล้วไม่แจ้งให้โจทก์ทราบว่าเรียกเก็บเงินไม่ได้ จนเวลาล่วงเลยมาถึง 4 เดือน จึงแจ้งให้โจทก์ทราบก็ตาม แต่ก็ไม่ทำให้โจทก์หมดสิทธิเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินในบัญชีพอจ่ายตามเช็ค ธนาคารจำเลยย่อมไม่อาจหักเงินจากบัญชีของจำเลยที่ 1 มาเข้าบัญชีโจทก์ได้ การที่โจทก์ไม่มีเงินอยู่ในบัญชีพอที่จะชำระดอกเบี้ยให้ธนาคารจำเลยและชำระหนี้เป็นเหตุให้ต้องถูกธนาคารจำเลยเรียกดอกเบี้ยทบต้นและถูกบุคคลซึ่งเป็นคู่ค้ากับโจทก์ริบเงินไปตามสัญญา จึงไม่ใช่ความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงเนื่องมาจากการที่ธนาคารจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบล่าช้า ถือไม่ได้ว่าธนาคารจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย ไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ คือจำเลยที่ ๑ ออกเช็คของธนาคารจำเลยจำนวน ๖ ฉบับ จำนวนเงิน ๓๒๕,๙๕๕ บาท ชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดจ่ายเงิน โจทก์นำเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารจำเลยที่ ๒ เพื่อเรียกเก็บเงิน จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ โดยจงใจและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงมิได้นำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์ และมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้ในวันรุ่งขึ้น เป็นการฝ่าฝืนระเบียบการหักบัญชีระหว่างธนาคารในกรุงเทพมหานครของธนาคารแห่งประเทศไทย โจทก์จึงเชื่อว่าเรียกเก็บเงินได้ ต่อมาจำเลยที่ ๒ นำเช็คทั้ง ๖ ฉบับดังกล่าวเข้าบัญชีให้โจทก์แล้วปฏิเสธการจ่ายเงินในวันเดียวกันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถชำระเงินตามสัญญาซื้อขายกับผู้มีชื่อและถูกริบเงินมัดจำไป ๒๐๐,๐๐๐ บาทและต้องเสียดอกเบี้ยทบต้นให้จำเลยที่ ๒ ในหนี้ยอดเบิกเงินเกินบัญชีที่เพิ่มขึ้นอีก เมื่อรวมกับต้นเงินตามเช็คแล้ว รวมเป็นค่าเสียหาย ๕๘๓,๖๘๖.๐๖ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นสาขาของจำเลยที่ ๓ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ และร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินตามเช็คนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ทราบดีว่าบัญชีของจำเลยที่ ๑ มีเงินไม่พอจ่ายในวันที่เช็คทั้ง ๖ ฉบับถึงกำหนดจ่ายเงิน จึงฝากเช็คดังกล่าวไว้กับพนักงานของจำเลยที่ ๒ ให้เก็บไว้รอนำเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินเมื่อเงินในบัญชีของจำเลยมีพอจ่าย พนักงานของจำเลยที่ ๒เก็บเช็คไว้จนถึงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๗ จึงนำเข้าบัญชีโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าเงินในบัญชีของจำเลยที่ ๑ มีไม่พอจ่าย จำเลยที่ ๒ จึงคืนเช็คและใบคืนเช็คให้แก่โจทก์ในวันเดียวกัน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ ได้ออกเช็คให้โจทก์ใหม่เพื่อชำระหนี้ตามเช็คทั้ง ๖ ฉบับที่โจทก์ฟ้องแล้ว หนี้ตามเช็คดังกล่าวจึงระงับไป ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องถูกริบมัดจำเป็นความบกพร่องของโจทก์เอง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาต้นเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยเอาจากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระต้นเงินตามเช็คทั้ง ๖ ฉบับ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่เช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดชำระเงินจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๓
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นฎีกามีประเด็นข้อเดียวว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่ โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กระทำการฝ่าฝืนระเบียบการหักบัญชีระหว่างธนาคารในกรุงเทพมหานครของธนาคารแห่งประเทศไทยตามเอกสารหมาย จ.๒๑ ไม่นำเช็ค ๖ ฉบับ เข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินในวันที่เช็คถึงกำหนดจ่ายเงินและในวันรุ่งขึ้นไม่แจ้งให้โจทก์ทราบว่าเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินได้หรือไม่ ปล่อยให้ล่าช้าถึง ๔ เดือนจึงแจ้งให้ทราบว่าเรียกเก็บตามเช็คทั้ง ๖ ฉบับไม่ได้ ข้อนี้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีนางยุวดี ธนกมลนันท์สมุห์บัญชีของจำเลยที่ ๒ และนางนัทธี ศักดิ์พานิช ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ ในระหว่างเกิดเหตุเบิกความเป็นพยานว่า ได้นำเช็คเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินตามวันที่ลงในเช็คพิพาท แต่เงินในบัญชีของจำเลยที่ ๑ ไม่พอจ่าย นางยุวดีเสนอเรื่องต่อผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นางนัทธีบอกให้เก็บเช็คไว้ก่อน ไม่ปรากฏในทางนำสืบของฝ่ายจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ว่า เหตุใดนางนัทธีจึงสั่งเช่นนั้น จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ขอให้เก็บเช็คไว้ก่อนเพื่อรอเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ ตามที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต่อสู้ไว้ในคำให้การ และแม้จะฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ได้นำเช็คเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ จนล่วงเลยมาประมาณ ๔ เดือน จึงแจ้งให้โจทก์ทราบ อย่างไรก็ดีการกระทำของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าทำให้โจทก์หมดสิทธิเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยที่ ๑ ผู้สั่งจ่ายแต่อย่างใด ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าได้รับความเสียหายถูกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ คิดดอกเบี้ยทบต้นและถูกบุคคลอื่นซึ่งเป็นคู่ค้ากับโจทก์ริบเงินมัดจำไปตามสัญญานั้น กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ไม่มีเงินในบัญชีพอจ่ายตามเช็ค จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่สามารถหักเงินจากบัญชีของจำเลยที่ ๑มาเข้าบัญชีโจทก์ได้ โจทก์จึงไม่มีมีเงินอยู่ในบัญชีพอที่จะชำระดอกเบี้ยให้จำเลยที่ ๒ และชำระหนี้จึงต้องถูกปรับตามสัญญา ความเสียหายดังกล่าวมิใช่ความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ แจ้งโจทก์ล่าช้าดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำให้โจทก์เสียหายไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน.

Share