คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คนร้ายยิงปืนหลายนัดติดต่อในคราวเดียวกัน ทั้งโจทก์ร่วมผู้ตาย และพวกต้องรีบหมอบ คลานเข้าไปหลบซ่อนในป่าหญ้าคา โอกาสที่จะเห็นคนร้ายได้ชัดเจนในช่วงเวลาดังกล่าวจึงมีน้อยมาก เพราะต่างก็อยู่ในสภาพที่ต้องหลบหนีเอาตัวรอดทั้งการที่โจทก์ร่วมระบุชื่อคนร้ายในชั้นสอบสวนตลอดจนรายละเอียดอื่นก็เป็นเวลาหลังเกิดเหตุหลายเดือน อาจมีการเสริมแต่งขึ้นก็ได้ พยานหลักฐานโจทก์ย่อมไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอรับฟังลงโทษจำเลยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83,288, 289 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายจำนงค์ คงหอม ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 289(4) ประกอบมาตรา 80 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษประหารชีวิตจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม เหลือจำคุกตลอดชีวิต ริบกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ริบกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงคงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2530 เวลากลางวัน นายสมเกียรติ ดวงทิพย์ ผู้ตายกับนายจำนงค์ คงหอม โจทก์ร่วมได้ถูกคนร้ายหลายคนใช้อาวุธปืนลอบยิงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายส่วนโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสรายละเอียดบาดแผลปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ และผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า จำเลยได้ร่วมกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่โจทก์ฎีกาสรุปได้ประการแรกว่า วันเกิดเหตุฝ่ายจำเลยได้นัดกับโจทก์ร่วมเพื่อเจรจาตกลงกันเรื่องที่ฝ่ายจำเลยถูกกล่าวหาว่าลักเครื่องสูบน้ำของฝ่ายโจทก์ร่วมไป แล้วจำเลยไม่ไปตามนัดแสดงว่าได้เตรียมการดักซุ่มยิงฝ่ายโจทก์ร่วม เพราะทราบเวลานัดและเส้นทางเดินของฝ่ายโจทก์ร่วมดี เห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวเป็นเพียงการสันนิษฐานเอายังไม่เป็นข้อที่บ่งชี้ได้แน่ชัดและเป็นเพียงพยานหลักฐานประกอบคดีเท่านั้น
ที่โจทก์ฎีกาว่า พวกคนร้ายที่ดักซุ่มอยู่ในป่าหญ้าคานั้นเวลายิงจะต้องลุกขึ้นยืนยิง กระสุนปืนนัดแรกที่ดังขึ้นย่อมทำให้พยานโจทก์ซึ่งเดินตามมามองไปทางเสียงปืนเหตุเกิดเวลากลางวันหากพยานโจทก์รู้จักจำเลยมาก่อน แม้เห็นเพียงชั่วอึดใจก็ย่อมทราบว่าเป็นใคร เห็นว่า พยานสำคัญของโจทก์ที่ยืนยันว่าเห็นจำเลยเป็นคนยิงนั้น มีตัวโจทก์ร่วม นายอำนวย คงหอม และนายแปลกคงหอม บิดาโจทก์ร่วม เมื่อพิจารณาคำเบิกความของโจทก์ร่วมประกอบแผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2 แล้วได้ความว่าเมื่อโจทก์ร่วมกับผู้ตายถูกซุ่มยิงแล้วได้หมอบกับพื้นคลานไปซุ่มในป่าหญ้าคาฝั่งตรงข้าม ตรงจุดหมายเลข 3 ในแผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหตุดังกล่าว และในขณะที่คนร้ายดักยิงพวกโจทก์ร่วมกับผู้ตายนั้นได้ความจากโจทก์ร่วมเพียงว่า เมื่อมีเสียงปืนดังขึ้น โจทก์ร่วมรู้สึกเจ็บที่หัวเข่าและล้มลง เสียงปืนดังขึ้นหลายนัดติดกันโจทก์ร่วมมิได้ระบุว่า มีเสียงปืนดังขึ้นเพียงนัดเดียวก่อน ข้อที่นายอำนวยกับนายแปลกเบิกความว่า มีเสียงปืนดังขึ้นเพียงนิดเดียวก่อนต่อมาจึงดังขึ้นอีกหลายนัด เป็นทำนองว่า พยานโจทก์มีโอกาสได้หันไปดูคนร้ายในช่วงจังหวะที่เสียงปืนเว้นระยะนั้น นอกจากไม่สอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ร่วมดังกล่าวแล้ว ในชั้นสอบสวนไม่ปรากฏว่ามีพยานโจทก์คนใดให้การทำนองดังกล่าว คำพยานโจทก์ในข้อนี้จึงเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อว่าคนร้ายจะยิงปืนในลักษณะดังกล่าว แต่น่าเชื่อตามที่โจทก์ร่วมเบิกความว่า คนร้ายยิงปืนหลายนัดติดต่อในคราวเดียวกัน ดังนั้นทั้งโจทก์ร่วม ผู้ตาย และพวก จึงต้องรีบหมอบคลานเข้าไปหลบซ่อนในป่าหญ้าคา โอกาสที่จะเห็นคนร้ายได้ชัดเจนในช่วงเวลาดังกล่าวจึงมีน้อยมาก เพราะต่างก็อยู่ในสภาพที่ต้องหลบหนีเอาตัวรอด ข้อที่โจทก์ร่วมกับนายอำนวยอ้างอีกตอนหนึ่งว่า ผู้ตายร้องว่า จำเลยกับนางคงออกมายิงซ้ำ ซึ่งพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้เห็นจำเลยได้ชัดเจนนั้น ความข้อนี้นอกจากโจทก์ร่วมแล้วไม่ปรากฏว่านายอำนวยหรือพยานโจทก์คนใดเคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน เห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยกับพวกดังกล่าว หากเป็นจริงย่อมเป็นหลักฐานที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง ที่จะทำให้พยานโจทก์ที่รู้เห็นยืนยันตัวคนร้ายได้หนักแน่นยิ่งขึ้น แต่ตามแผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหตุไม่ปรากฏจุดที่อ้างว่า คนร้ายออกมายิงซ้ำ ทั้งที่นายอำนวยเป็นคนนำชี้ในการทำแผนที่สังเขปดังกล่าวด้วย คงมีแต่จุดที่ซุ่มยิงในป่าหญ้าคาตรงหมายเลข 1 เพียงแห่งเดียว พยานโจทก์ในข้อนี้จึงเป็นพิรุธไม่เชื่อว่าจะมีการออกมายิงซ้ำดังที่อ้าง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้อที่เกี่ยวกับปลอกกระสุนปืนในบริเวณที่อ้างว่ามีการยิงซ้ำอีก
ที่โจทก์ฎีกาว่า หลังเกิดเหตุโจทก์ร่วมมีอาการสาหัสถูกนำส่งโรงพยาบาลทันทีพยานโจทก์ที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่กล้าระบุชื่อคนร้ายเพราะมีพวกจำเลยอยู่ด้วย และที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า นายแปลกให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่าที่ไม่ระบุชื่อคนร้ายเพราะเกรงกลัวคนร้าย แต่ในชั้นศาลนายแปลกตอบทนายจำเลยว่า ได้บอกตำรวจไปแล้วว่าคนร้ายเป็นใครแต่ตำรวจจะเชื่อหรือไม่ ไม่ทราบนั้น เป็นเรื่องที่นายแปลกบอกชื่อเล่นจำเลยไป ไม่ได้บอกนามสกุล ตำรวจจึงลงในรายงานการชันสูตรพลิกศพเพียงว่า ชื่อผู้ที่ทำให้ตายยังไม่ทราบแน่ชัด ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวรวมกันไปได้ความจากโจทก์ร่วมว่าถูกยิงแล้วมีอาการหมดสติไป จึงน่าจะเป็นเวลาที่เข้าไปซ่อนในป่าหญ้าคาแล้ว ไม่น่าจะมีโอกาสเห็นคนร้ายได้ ที่โจทก์ร่วมมาระบุชื่อคนร้ายในชั้นสอบสวนตลอดจนรายละเอียดอื่นก็เป็นเวลาหลังเกิดเหตุหลายเดือน อาจมีการเสริมแต่งขึ้นก็ได้ ส่วนพยานโจทก์อื่นเช่น นายอำนวย ซึ่งอ้างว่าเห็นจำเลยกับนายคงออกมายิงผู้ตายซ้ำนั้นเมื่อข้อเท็จจริงไม่น่าเชื่อว่าคนร้ายจะออกมายิงซ้ำดังวินิจฉัยมาแล้ว และในชั้นสอบสวนพยานปากนี้ไม่ได้ให้การพาดพิงไปถึงจำเลยเลยข้อที่พยานอ้างว่าเห็นจำเลยเป็นคนยิงผู้ตายและโจทก์ร่วมจึงไม่น่าเชื่อ ส่วนนายแปลกนั้น แม้ในชั้นสอบสวนจะอ้างว่า เห็นจำเลยกับนายคงยิงผู้ตายกับโจทก์ร่วม เหตุที่ไม่ได้ระบุชื่อคนร้ายในขณะพนักงานสอบสวนชันสูตรพลิกศพเพราะมีพวกจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุนั้น ในชั้นศาลกลับตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ได้บอกพนักงานสอบสวนตอนมาชันสูตรพลิกศพว่าจำเลยกับพวกเป็นคนร้าย ซึ่งขัดแย้งกับคำให้การชั้นสอบสวนของพยานเอง และหากข้ออ้างของพยานในชั้นสอบสวนเป็นความจริง พยานก็น่าจะเบิกความยืนยันในชั้นศาลในข้อนี้ให้หนักแน่น โดยเฉพาะพยานปากนี้เป็นบิดาโจทก์ร่วมซึ่งถูกยิงจนได้รับอันตรายสาหัสย่อมจะมีความเจ็บแค้นคนร้าย และน่าจะต้องรีบหาทางแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบโดยเร็ว ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องทำโดยเปิดเผยต่อหน้าพวกจำเลย คำพยานปากนี้จึงมีพิรุธน่าสงสัยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเช่นกัน
ที่โจทก์ร่วมฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมโดยมิได้มีการบังคับขู่เข็ญย่อมรับฟังประกอบคดีได้ เห็นว่าคำรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย เมื่อพยานสำคัญของโจทก์มีข้อเป็นพิรุธดังวินิจฉัยมาแล้ว พยานหลักฐานโจทก์ย่อมไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอรับฟังลงโทษจำเลยได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”
พิพากษายืน.

Share