คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8275/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยในฐานะผู้รับตราส่งแสดงเจตนาเข้ารับเอาสินค้าอันเป็นการเข้ารับเอาประโยชน์ตามสิทธิในใบตราส่งทางอากาศ จำเลยจึงย่อมมีความผูกพันต้องชำระเงินค่าระวางตามหน้าที่ของผู้ที่เข้ารับเอาประโยชน์ด้วย จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าระวาง ไม่ว่าการตกลงว่าจ้างโจทก์ผู้ขนส่งในครั้งพิพาทนั้น จำเลยจะได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ด้วยตนเองหรือบริษัท ล. ผู้ส่งเป็นผู้ว่าจ้างเองตั้งแต่ที่ต้นทางหรือว่าจ้างแทนจำเลยหรือไม่ก็ตาม ส่วนสัญญาซื้อขายระหว่างบริษัท ล. กับจำเลยจะกำหนดภาระหน้าที่ในเรื่องการขนส่งสินค้ามายังประเทศไทยไว้อย่างไร ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยผู้ซื้อกับบริษัท ล. ผู้ขาย ซึ่งเป็นคู่สัญญากันตามสัญญาซื้อขาย ซึ่งเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เข้าไปเกี่ยวข้องยอมรับเงื่อนไขเกี่ยวกับหน้าที่ในการขนส่งสินค้าตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงตามสัญญารับขน นอกจากที่ตกลงกันไว้ในใบตราส่งทางอากาศด้วยแล้ว จำเลยต้องรับผิดตามความผูกพันในใบตราส่งทางอากาศ ชำระค่าระวางทั้งสองครั้งพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามฟ้องให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,724,238.47 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,508,882.47 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยต้องชำระค่าระวางในการขนส่งสินค้าทั้งสองครั้งให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามใบตราส่งทางอากาศซึ่งเป็นหลักฐานแห่งสัญญาขนส่งสินค้าพิพาทได้ระบุเงื่อนไขแห่งการขนส่งไว้ว่า ค่าระวางตามจำนวนที่ระบุไว้ในใบตราส่งทางอากาศให้เรียกเก็บที่ปลายทาง ซึ่งเมื่อสินค้ามาถึงปลายทางครบถ้วน จำเลยในฐานะผู้รับตราส่งตามใบตราส่งทางอากาศที่ได้ขอรับสินค้าไปจากโจทก์แล้วตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2543 และวันที่ 3 มกราคม 2544 ตามหลักฐานการส่งมอบและรับมอบสินค้าในวันถัดจากวันส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยครั้งแรกคือวันที่ 28 ธันวาคม 2543 และวันเดียวกันกับที่ส่งมอบสินค้าครั้งที่สองคือวันที่ 3 มกราคม 2543 โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระค่าระวางทันที ตามใบแจ้งหนี้ในวันที่ 28 ธันวาคม 2543 หลังจากถูกทวงถามครั้งแรกจำเลยส่งโทรสารตอบโจทก์โดยไม่ได้ปฏิเสธว่าค่าระวางได้ชำระล่วงหน้ากันไปแล้วที่ต้นทาง แต่อ้างว่าต้องตกลงกับบริษัทแลนดิส แอนด์ ไจร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ผู้ขายให้เป็นที่ยุติเสียก่อน แล้วจะแจ้งให้โจทก์ทราบภายในวันที่ 10 มกราคม 2544 ซึ่งหมายความว่าจะตกลงกับบริษัทดังกล่าวให้ได้เสียก่อนว่าระหว่างจำเลยกับบริษัทแลนดิส แอนด์ ไจร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ผู้ใดต้องรับภาระเรื่องค่าขนส่งตามสัญญาซื้อขาย เมื่อตามโทรสารการติดต่อว่าจ้างซึ่งเป็นหลักฐานการติดต่อกันระหว่างโจทก์และจำเลยในวันที่ 14 และวันที่ 20 ธันวาคม 2543 อันเป็นเวลาก่อนที่โจทก์จะขนส่งสินค้าทางอากาศให้แก่จำเลยระบุว่าจำเลยได้ขอให้มีการส่งสำเนาใบตราส่งทางอากาศและใบกำกับสินค้าให้จำเลยได้เห็นก่อนล่วงหน้าโดยทางโทรสารเพื่อตรวจสอบเนื้อความก่อนจะได้ไม่มีข้อผิดพลาด โดยจำเลยเน้นว่าสินค้าต้องมาถึงเพื่อส่งมอบให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ทันวันที่ 28 ธันวาคม 2543 แสดงว่าจำเลยทราบถึงเนื้อหาและความผูกพันของคู่สัญญาตามใบตราส่งทางอากาศตั้งแต่ก่อนจำเลยไปขอรับสินค้าจากโจทก์ในวันที่ 27 ธันวาคม 2543 และวันที่ 3 มกราคม 2544 แล้ว เมื่อจำเลยในฐานะผู้รับตราส่งแสดงเจตนาเข้ารับเอาสินค้าอันเป็นการเข้ารับเอาประโยชน์ตามสิทธิในใบตราส่งทางอากาศ จำเลยจึงย่อมมีความผูกพันต้องชำระเงินค่าระวางตามหน้าที่ของผู้ที่เข้ารับเอาประโยชน์ด้วย จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าระวาง ไม่ว่าการตกลงว่าจ้างโจทก์ผู้ขนส่งในครั้งพิพาทนั้น จำเลยจะได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ด้วยตนเองหรือบริษัทแลนดิส แอนด์ ไจร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ผู้ส่งเป็นผู้ว่าจ้างเองตั้งแต่ที่ต้นทางหรือว่าจ้างแทนจำเลยหรือไม่ก็ตาม ส่วนสัญญาซื้อขายระหว่างบริษัทแลนติส แอนด์ ไจร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด กับจำเลยจะกำหนดภาระหน้าที่ในเรื่องการขนส่งสินค้ามายังประเทศไทยไว้อย่างไร ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยผู้ซื้อกับบริษัทแลนดิส แอนด์ ไจร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ผู้ขาย ซึ่งเป็นคู่สัญญากันตามสัญญาซื้อขาย ซึ่งเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เข้าไปเกี่ยวข้องยอมรับเงื่อนไขเกี่ยวกับหน้าที่ในการขนส่งสินค้าตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงตามสัญญารับขนนอกจากที่ตกลงกันไว้ในใบตราส่งทางอากาศด้วยแล้ว จำเลยต้องรับผิดตามความผูกพันในใบตราส่งทางอากาศ ชำระค่าระวางทั้งสองครั้งพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามฟ้องให้แก่โจทก์ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,724,238.47 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,508,882.47 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวมเป็นเงิน 30,000 บาท.

Share