คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8212/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 302 วรรคหนึ่ง ศาลจังหวัดลพบุรีเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาไต่สวนและมีคำสั่งเกี่ยวกับการบังคับคดีนี้ และมีอำนาจมอบหมายให้ศาลชั้นต้นดำเนินการบังคับคดีแทนได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 302 วรรคสาม ฉะนั้นเมื่ออยู่ระหว่างการบังคับคดีแทน ศาลชั้นต้นเห็นว่าตนเองบังคับคดีผิดพลาดหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมาย ก็ย่อมเพิกถอนกระบวนการบังคับคดีได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบมาตรา 296 วรรคหนึ่ง
ก่อนผู้ซื้อทรัพย์เข้าสู้ราคาได้ไปดูที่ดินพิพาททั้งสองแปลงโดยอาศัยแผนที่สังเขปแสดงที่ตั้งของหลักประกันและบริเวณใกล้เคียงแล้ว และได้ตรวจดูที่ดินข้างเคียงในแผนที่ดังกล่าวที่มีการขายทอดตลาดในวันเดียวกันเป็นข้ออ้างอิง จึงเชื่อว่าที่ดินที่ได้ไปดูตามแผนที่ดังกล่าวเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) จึงเข้าสู้ราคาซื้อที่ดินดังกล่าว เมื่อปรากฏว่าที่ดินทั้งสองแปลงไม่มีอยู่จริง จึงไม่อาจถือได้ว่าผู้ซื้อทรัพย์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
เมื่อที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ไม่มีอยู่จริง ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดและนำออกขายทอดตลาด จึงเป็นการบังคับคดีที่ไม่ชอบและฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งศาลมีอำนาจให้เพิกถอนการยึดทรัพย์และการขายทอดตลาดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลจังหวัดลพบุรีมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จำนองและค้ำประกันรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ ศาลจังหวัดลพบุรีออกหมายบังคับคดีและให้ศาลชั้นต้นบังคับคดีแทน โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ) เลขที่ 141 และ 143 ตำบลเอราวัณ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาด โดยมีนายคำสิงห์ เป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้ในราคาแปลงละ150,000 บาท
ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดและนิติกรรมการซื้อขาย ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงินค่าซื้อทรัพย์ 300,000 บาท และให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเอราวัณคืนเงินค่าภาษีธรรมเนียมโอนที่ดิน 49,690 บาท ให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์
จำเลยที่ 1, โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดียึดทรัพย์และขายทอดตลาดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 141 และเลขที่ 143 ตำบลเอราวัณ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงินที่รับไว้ให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าศาลจังหวัดลพบุรี มีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จำนอง ค้ำประกัน รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ศาลจังหวัดลพบุรีออกหมายบังคับคดี และให้ศาลชั้นต้นบังคับคดีแทน โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 141 และ 143ตำบลเอราวัณ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาด นายคำสิงห์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้ แต่ไม่สามารถเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวได้เนื่องจากมีนายพันธ์ และนางสาคร เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์อยู่โดยมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.)
คดีมีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า ศาลชั้นต้นซึ่งทำหน้าที่บังคับคดีแทนศาลจังหวัดลพบุรี มีอำนาจพิจารณาไต่สวนและมีคำสั่งในคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 วรรคหนึ่ง ศาลจังหวัดลพบุรี เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาไต่สวนและมีคำสั่งเกี่ยวกับการบังคับคดีนี้ และมีอำนาจมอบหมายให้ศาลชั้นต้นดำเนินการบังคับคดีแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 302 วรรคสาม ฉะนั้นเมื่ออยู่ระหว่างดำเนินการบังคับคดีแทน ศาลชั้นต้นเห็นว่าตนเองบังคับคดีผิดพลาดหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายก็ย่อมเพิกถอนกระบวนการบังคับคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบมาตรา 296 วรรคแรก แม้ประเทศไทยจะใช้ระบบประมวลกฎหมาย การนำคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นคำพิพากษาศาลสูงสุดมาเป็นแนวทางในการวินิจฉัยก็หาขัดต่อระบบประมวลกฎหมายไม่ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาไต่สวน และมีคำสั่งในคดีนี้ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาต่อมาว่า เป็นความบกพร่องของผู้ซื้อที่ไม่ได้ทำการตรวจสอบความถูกต้องในที่ดินพิพาทให้ดีเสียก่อนก่อนที่จะเข้าสู้ราคา ถือได้ว่า เป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้ซื้อทรัพย์จึงไม่อาจอ้างความสำคัญผิดในที่ตั้งแห่งที่ดินแปลงพิพาทอันเป็นความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมมาเป็นประโยชน์แก่ตนได้นั้น เห็นว่า ก่อนผู้ซื้อทรัพย์เข้าสู้ราคาได้ไปดูที่ดินพิพาททั้งสองแปลงโดยอาศัยแผนที่สังเขปแสดงที่ตั้งของหลักประกันและบริเวณใกล้เคียงแล้ว และได้ตรวจดูที่ดินข้างเคียงในแผนที่ดังกล่าวที่มีการขายทอดตลาดในวันเดียวกันเป็นข้ออ้างอิง จึงเชื่อว่าที่ดินที่ไปดูตามแผนที่ดังกล่าวเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) จึงเข้าสู้ราคาซื้อที่ดินดังกล่าว
เมื่อปรากฏว่าที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวไม่มีอยู่จริง จึงไม่อาจถือได้ว่าผู้ซื้อทรัพย์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และเมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 141 และ 143 ตำบลเอราวัณ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ของจำเลยที่ 1 ไม่มีอยู่จริง ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดและนำออกขายทอดตลาด จึงเป็นการบังคับคดีที่ไม่ชอบและฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งศาลมีอำนาจให้เพิกถอนการยึดทรัพย์และการขายทอดตลาดที่ดินทั้งสองแปลงตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 141 และ 143 ตำบลเอราวัณ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share