คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอเข้ารับหรือออกจากราชการตลอดจนการขอเข้าใหม่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้าราชการฝ่ายพลเรือนอันอยู่ในอำนาจหน้าที่องฝ่ายบริหารโดยเฉพาะจะมาฟ้องขอให้ศาลบังคับหาได้ไม่
พระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ไม่มีบัญญัติไว้เด็ดขาดว่านายกรัฐมนตรีจำต้องปฏิบัติตามมติคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์แม้ใน มาตรา 20 ก็ไม่มีผลบังคับเด็ดขาดอยู่เพียงคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ๆ พึงเสนอความเห็นอีกทางหนึ่งเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งการของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
คำในวรรคสองซึ่งว่า ‘เมื่อนายกรัฐมนตรีได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการแล้วจัดการไปเป็นการใด ฯลฯ’ ย่อมแสดงว่าอยู่ในความวินิจฉัยของนายกรัฐมนตรีที่จะจัดการไปประการใดก็ได้แล้วแจ้งคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ทราบเพื่อแจ้งแก่ผู้ร้องต่อไป เรื่องระยะเวลา 60 วันก็เพื่อเร่งให้ดำเนินการพิจารณาและสั่งการไปโดยเร็วนั่นเองจึงไม่ทำให้เกิดสิทธิฟ้องคดีเช่นนี้ได้
ศาลไทยยังไม่มีศาลปกครองจึงต้องพิจารณาตามกฎหมายและอำนาจของศาลไทย

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเดิมโจทก์เป็นเลขานุการกรมไปรษณีย์โทรเลขถูกสั่งไล่ออกฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ต่อมาโจทก์ได้ยื่นเรื่องราวต่อคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ ๆ มีมติว่าโจทก์ควรได้รับการพิจารณาคืนสู่ฐานะข้าราชการต่อไป จำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมติคณะกรรมการฯ ใน 60 วัน แต่ไม่ปฏิบัติและมีคำสั่งให้ยกเรื่องราวของโจทก์ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยให้โจทก์คืนสู่ฐานะเป็นข้าราชการตามเดิมตามมติคณะกรรมการฯ

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าการขอเข้ารับราชการหรือออกจากราชการตลอดจนการขอเข้ารับราชการใหม่ดังเช่นกรณีของโจทก์นี้ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนประกอบด้วยกฎกระทรวงและระเบียบแบบแผนว่าด้วยการนั้นซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจและหน้าที่ของฝ่ายบริหารโดยเฉพาะ โจทก์จะนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้รับโจทก์กลับเข้ารับราชการต่อไปตามเดิมเช่นนี้ไม่ได้ พระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. 2492 นี้ไม่มีบทบัญญัติอันใดเลยที่กำหนดลงไว้ให้เห็นเป็นเด็ดขาดว่านายกรัฐมนตรีจำต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์แม้แต่ใน มาตรา 20 ซึ่งโจทก์เสนอเป็นหลักแห่งการฟ้องคดีเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ให้คณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์แจ้งคำวินิจฉัยไปยังนายกรัฐมนตรีให้ทราบและนายกรัฐมนตรีจัดการในเรื่องนั้นไปเป็นประการใด ก็ให้แจ้งให้คณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ทราบเพื่อจะได้แจ้งผลให้ผู้เสนอเรื่องราวร้องทุกข์ทราบด้วยซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรเป็นผลบังคับเด็ดขาดอยู่เพียงคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์นั้นเลย คำให้การวรรค 2 ซึ่งว่า “เมื่อนายกรัฐมนตรีได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการแล้วได้จัดการไปเป็นประการใด ฯลฯ” แสดงว่าอยู่ในความวินิจฉัยของนายกรัฐมนตรีที่จะจัดการไปประการใดก็ได้ แล้วแจ้งให้คณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ทราบ เพื่อแจ้งผลให้ผู้เสนอทราบอีกต่อหนึ่ง เรื่องระยะเวลา 60 วันก็เพื่อเร่งนายกรัฐมนตรีให้รีบดำเนินการพิจารณาและสั่งเรื่องราวร้องทุกข์นั้นให้แล้วเสร็จไปโดยเร็ว มิให้ปล่อยปละละเลยทอดทิ้งไว้ช้านานเกินสมควรเท่านั้นเอง ดังนี้ข้อความใน มาตรา 20 ที่โจทก์เสนอขึ้นมานี้จึงไม่สนับสนุนให้โจทก์เกิดสิทธิฟ้องคดีเช่นนี้ได้

ศาลฎีกาเห็นว่าประเทศไทยยังไม่มีศาลปกครอง คงพิจารณาตามตัวบทกฎหมายและอำนาจศาลของประเทศไทยก็พอแล้ว

พิพากษายืน

Share