แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยผู้รับประกันภัยยินยอมให้โจทก์ผู้เอาประกันภัยไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย เพราะเหตุรถยนต์ของโจทก์ที่ประกันภัยไว้ชนกับรถยนต์คนอื่น ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย แม้ความรับผิดของโจทก์ผู้เอาประกันภัยที่มีต่อผู้เสียหายจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็หาทำให้ความรับผิดของจำเลยต่อโจทก์ที่มีอยู่แล้วตามกรมธรรม์ประกันภัยเปลี่ยนแปลงระงับสิ้นไปไม่ จำเลยยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำรถยนต์บรรทุกของโจทก์ไปทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลย จำเลยสัญญาว่าจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของโจทก์หากโจทก์ต้องรับผิดตามกฎหมายเพื่อความบาดเจ็บหรือมรณะของบุคคลภายนอก เพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาประกันภัยต่อมารถยนต์ของโจทก์ได้ประสบอุบัติเหตุชนกับรถยนต์ของนายชัยมงคลนกขำดี โจทก์ได้ตกลงจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายชัยมงคลแทนจำเลยจำนวน 20,000 บาท และยังถูกนายชัยมงคลฟ้องเรียกค่าซ่อมรถ ทั้งรถยนต์ของโจทก์ก็เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงิน 90,935 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยมิใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์ยังไปตกลงใช้ค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บ โดยจำเลยไม่มีส่วนรับรู้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามกฎหมาย มีผลให้มูลหนี้เดิม คือ มูลหนี้ละเมิดซึ่งกรมธรรม์ประกันภัยมีผลคุ้มครองถึงระงับสิ้นไป กรมธรรม์ประกันภัยจึงไม่มีผลคุ้มครองถึงมูลหนี้ใหม่ ค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์และนายชัยมงคลสูงกว่าความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 65,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 25,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยใช้เงินโจทก์เป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 25,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ว่ากรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ มีผลคุ้มครองต่อเหตุรถยนต์ชนกันหรือไม่ และสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้มูลหนี้ระงับไป อันทำให้จำเลยพ้นความรับผิดหรือไม่นั้น จำเลยฎีกาว่า กรมธรรม์ประกันภัยจะมีผลคุ้มครองก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยเท่านั้น โจทก์ประพฤติผิดเงื่อนไขโดยไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่ารักษาพยาบาลและสินไหมทดแทนให้แก่นายชัยมงคล ผู้เสียหาย โดยไม่แจ้งให้จำเลยทราบและไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย กรมธรรม์ประกันภัยจึงไม่คุ้มครองโจทก์ ในเรื่องนี้จำเลยนำสืบว่า โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้เสียหายโดยจำเลยมิได้ยินยอม ส่วนโจทก์เบิกความว่า ฝ่ายจำเลยเคยมาตกลงกับโจทก์และผู้เสียหาย 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ในครั้งที่สามผู้ได้รับบาดเจ็บเรียกค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน20,000 บาท จึงตกลงกันได้โดยโจทก์ได้ให้นายสุชาติ วิชชุกรโทรศัพท์ไปเรียกจำเลยมาตกลงด้วย จำเลยบอกให้โจทก์ตกลงไปเลย แล้วไปรับเงินจากจำเลยภายหลัง จึงได้มีการทำบันทึกตกลงกันต่อหน้านายร้อยเวรในวันที่ 6 สิงหาคม 2524 ตามเอกสารหมาย ล.12 คดีนี้เกิดเหตุเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2524 นายไพโรจน์ สุวรรณมณีผู้จัดการฝ่ายประกันภัยรถยนต์ของจำเลยในขณะเกิดเหตุ พยานจำเลยเบิกความว่า ฝ่ายโจทก์ได้แจ้งให้ฝ่ายจำเลยทราบเรื่องรถยนต์ชนกัน7 ชั่วโมงภายหลังเกิดเหตุ เห็นได้ว่าจำเลยทราบถึงเหตุรถยนต์ชนกันตั้งแต่วันเกิดเหตุ น่าเชื่อว่าในระยะเวลา 2-3 วันต่อมาคือนับตั้งแต่เวลาที่จำเลยทราบถึงเหตุรถยนต์ชนกันจนถึงเวลาทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยน่าจะได้ร่วมเจรจากับผู้เสียหายตามที่โจทก์ได้เบิกความไว้ คำเบิกความของนายไพโรจน์พยานจำเลยจึงเจือสมข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่า ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความคือ บันทึกตามเอกสารหมาย ล.12 นั้น โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบให้จำเลยมาตกลงด้วย และในการนี้จำเลยมอบให้โจทก์เป็นผู้ตกลงกับผู้เสียหายข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และผู้เสียหายนั้น จำเลยได้รับทราบและยินยอมแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงตกไป จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยตามฟ้อง กรมธรรม์ประกันภัยย่อมคุ้มครองโจทก์ในกรณีที่รถยนต์ชนกันนี้ และปัญหาที่ว่ามูลหนี้เดิมระงับไปเพราะการทำสัญญาประนีประนอมหรือไม่นั้น เมื่อฟังว่าจำเลยมีความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยตามฟ้องแล้ว แม้ต่อมาภายหลังความรับผิดของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อผู้เสียหายจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็หาได้ทำให้ความรับผิดของจำเลยต่อโจทก์ผู้เอาประกันภัย ที่มีอยู่แล้วตามกรมธรรม์ประกันภัย เปลี่ยนแปลงระงับสิ้นไปไม่ จำเลยยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน