แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 145 จะต้องได้ความว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน โดยปกติผู้ที่จะเป็นเจ้าพนักงานจะต้องเป็นข้าราชการตามกฎหมายเว้นแต่จะมีกฎหมาย บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้เป็นเจ้าพนักงาน จำเลยเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเลขาธิการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่ พ.ศ.2494 ในปัจจุบันเป็นเลขาธิการก็ตามตามตำแหน่งนี้ก็ไม่อยู่ในความหมายของ พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือนมาตรา 23 ส่วนในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2495มาตรา 50 ถึง 54 บัญญัติให้สิทธิต่างๆ แก่เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยบางประการเหมือนกับข้าราชการพลเรือนสามัญทุกประการก็ตาม แต่ก็มิได้มีบทบัญญัติใดให้ผู้ที่ทำงานในมหาวิทยาลัยเป็นเจ้าพนักงาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จำเลยเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเลขาธิการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2494 มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2495 และ 11 กรกฎาคม 2495 เวลากลางวันอันเป็นวันประชุมครั้งที่ 7/2495 และครั้งที่ 9/2495 ตามลำดับวันที่ดังกล่าว จำเลยนี้ได้บังอาจละเว้นการอันจำเลยมีหน้าที่พึงกระทำในตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยปิดบังความจริงมิได้เปิดเผยหรือทัดทานตามหน้าที่ของจำเลยซึ่งเป็นผู้รู้ความจริงในเรื่องรายงานการดูงานของโจทก์ซึ่งได้เขียนขึ้นในขณะโจทก์ดูงานเกี่ยวกับการศึกษาอยู่ ณ ประเทศอเมริกาและได้ส่งมายังมหาวิทยาลัยประมาณ 10 ฉบับโดยความรู้เห็นของจำเลยในตำแหน่งหน้าที่เป็นเหตุให้สภามหาวิทยาลัยเข้าใจผิดว่าโจทก์ไปทำงานรับจ้างอยู่กับฝรั่งในสหรัฐอเมริกาได้เงินเดือน ๆ ละ 500 เหรียญ และเป็นผลให้ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยมีมติในครั้งแรกที่ 7/2495 ให้เรียกตัวโจทก์กลับถ้าไม่กลับก็ให้สละตำแหน่งให้ผู้อื่น และมีมติครั้งหลังที่ 9/2495ให้จำเลยติดต่อกับกระทรวงต่างประเทศเพื่อขอร้องให้ช่วยโทรเลขถามเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาว่าโจทก์ได้ไปรับจ้างฝรั่งทำงานจริงหรือไม่ โดยตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมาย จำเลยมีหน้าที่ต้องทำรายงานการดูงานของโจทก์เสนอต่อสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อทราบ แต่จำเลยหานำเสนอตามหน้าที่ไม่ กลับปิดบังไว้ทั้งนี้ด้วยเจตนาอันไม่สุจริตเป็นการนำมาซึ่งความเลื่อมเสียชื่อเสียงและดูหมิ่นเกลียดชังจากกรรมการสภามหาวิทยาลัยและบุคคลทั้งหลายและเกือบจะทำให้โจทก์ต้องสูญเสียตำแหน่งหน้าที่ราชการอันเป็นการนำมาซึ่งความเสียหายต่อประเทศชาติแก่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และแก่ตัวโจทก์ เพราะโจทก์ต้องปฏิเสธคำเชิญให้เข้าประชุมแทนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮอบกินส์ โจทก์ถือว่าจำเลยกระทำการผิดต่อกฎหมายอาญา มาตรา 145, 43 เหตุเกิดที่ตำบลท่าพระจันทร์ อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร
ศาลอาญาถือว่าการกระทำของจำเลยเท่าที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องไม่ผิดกฎหมายอาญา มาตรา 145 พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยไม่มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จึงไม่มีความผิดตามกฎหมายที่โจทก์ฟ้อง พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังคำแถลงการณ์ของโจทก์แล้วฟ้องโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 145 นี้จะต้องได้ความว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเลขาธิการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ พ.ศ. 2494 ในปัจจุบันเป็นเลขาธิการ
ปรึกษาแล้วเห็นว่าโดยปกติผู้ที่เป็นเจ้าพนักงาน ผู้นั้นจะต้องเป็นข้าราชการตามกฎหมาย เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้เป็นเจ้าพนักงานดังเช่นพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 44 บัญญัติให้เจ้าพนักงานเทศบาลมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายอาญาเป็นต้น และในพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือนมาตรา 23 บัญญัติถึงข้าราชการพลเรือนว่ามีอยู่ 8 ประเภท ก็ไม่กินความถึงจำเลยนี้ ส่วนพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2495 ก็เพียงแต่บัญญัติให้มหาวิทยาลัยนี้เป็นนิติบุคคลมีหน้าที่จัดการศึกษาและค้นคว้าในศาสตร์ต่าง ๆ โดยมุ่งส่งเสริมวิชาการชั้นสูงและวัฒนธรรมแห่งชาติเท่านั้น มิได้มีบทบัญญัติให้ผู้ที่ทำงานในมหาวิทยาลัยเป็นเจ้าพนักงานแต่อย่างไร
ข้อที่โจทก์ฎีกาอ้างความในมาตรา 50-54 ว่าผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยเป็นเจ้าพนักงานนั้น ความในมาตราเหล่านี้มีบัญญัติไว้แต่เพียงว่าให้เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยมีสิทธิแต่งเครื่องแบบข้าราชการพลเรือน ฯ และมีสิทธิได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และให้มีสิทธิอื่น ๆ บรรดาที่รัฐให้แก่ข้าราชการพลเรือนสามัญทุกประการเว้นแต่การรับบำเหน็จบำนาญเท่านั้น มิได้บัญญัติให้เป็นข้าราชการหรือเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย แต่อย่างไรฉะนั้นจึงถือว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายมิได้
ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลยกฟ้องโจทก์เสียทันทีไม่ชอบนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 ก็บัญญัติไว้ว่าให้ศาลยกฟ้อง ไม่ประทับฟ้อง หรือสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ฉะนั้นการที่ศาลสั่งยกฟ้องจะว่ากระทำผิดกฎหมายมิได้ จึงพิพากษายืน