คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8160/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์และ ศ. ร่วมกันทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยโดยโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินของโจทก์ไว้กับจำเลยเพื่อประกันหนี้โดยสัญญาจำนองระบุว่า โจทก์ตกลงจำนองที่ดินทั้งแปลงเพื่อประกันหนี้และภาระผูกพันใดๆ ของโจทก์และหรือ ศ. ที่มีต่อจำเลยผู้รับจำนอง ทั้งที่มีอยู่แล้วในขณะนี้และที่จะมีขึ้นในภายหน้าทุกลักษณะทุกประเภทหนี้ ดังนี้ เมื่อข้อพิพาทนี้เป็นเรื่องการบังคับตามสัญญาจำนองไม่ใช่ข้อพิพาทกันในเรื่องการชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จึงต้องพิจารณาบังคับตามสัญญาจำนองเป็นสำคัญ แม้โจทก์จะชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีให้แก่จำเลยจนครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อ ศ. ยังคงเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกและหนี้ของ ศ. เป็นหนี้ที่อยู่ในบังคับของสัญญาจำนองที่ดินที่โจทก์ทำกับจำเลย ภาระจำนองในที่ดินที่เป็นประกันจึงยังไม่ถูกล้างหรือระงับสิ้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินและชำระค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ไถ่ถอนจำนองขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์กับนายศักดิ์ชาย ลิขิตตระกูล ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลย โดยโจทก์ได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 22772 ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งใต้) อำเภอเมืองสมุทรปราการ (เมือง) จังหวัดสมุทรปราการ จดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ดังกล่าวและหนี้อื่นของโจทก์และของนายศักดิ์ชายที่มีอยู่กับจำเลย ต่อมาโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่นายศักดิ์ชายยังคงเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกบัญชีหนึ่ง โจทก์ติดต่อขอไถ่ถอนจำนองที่ดินกับพนักงานของจำเลยและพนักงานของจำเลยได้จัดทำเอกสารขึ้นเพื่อขออนุมัติจากจำเลยให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองที่ดินแล้ว คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนปลดจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 22772 ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งใต้) อำเภอเมืองสมุทรปราการ (เมือง) จังหวัดสมุทรปราการ ให้แก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำแถลงรับของคู่ความว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2539 โจทก์และนายศักดิ์ชาย ลิขิตตระกูล ได้ร่วมกันทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยในวงเงิน 350,000 บาท โดยโจทก์ได้นำที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 22772 ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งใต้) อำเภอเมืองสมุทรปราการ (เมือง) จังหวัดสมุทรปราการ มาจดทะเบียนจำนองไว้กับจำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้ดังกล่าว ต่อมาโจทก์ได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยปฏิเสธไม่ปลดจำนองให้แก่โจทก์เนื่องจากนายศักดิ์ชายยังคงเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกบัญชีหนึ่ง มีปัญหาที่จะต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาจำนองที่ดินดังกล่าว ข้อ 1 ระบุว่า “ผู้จำนองตกลงจำนองที่ดินแปลงที่ระบุไว้ทั้งแปลงแก่ผู้รับจำนอง เพื่อเป็นประกันหนี้และภาระผูกพันใดๆ ขอนายวัฒนา ลิขิตตระกูล และหรือนายศักดิ์ชาย ลิขิตตระกูล ที่มีต่อผู้รับจำนอง ทั้งที่มีอยู่แล้วในขณะนี้และที่จะมีขึ้นในภายหน้าทุกลักษณะทุกประเภทหนี้…” ดังนั้น เมื่อข้อพิพาทในคดีนี้เป็นเรื่องของการบังคับตามสัญญาจำนอง ไม่ใช่พิพาทกันในเรื่องการชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จึงต้องพิจารณาบังคับตามสัญญาจำนองเป็นสำคัญถึงแม้ข้อเท็จจริงจะฟังเป็นยุติว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่เมื่อนายศักดิ์ชายยังคงเป็นหนี้จำเลยอยู่จำเลยอยู่อีกและหนี้ของนายศักดิ์ชายดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นหนี้ที่อยู่ในบังคับของสัญญาจำนองที่ดินที่โจทก์ทำกับจำเลย หาใช่เป็นหนี้อื่นนอกสัญญาจำนองแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าภาระจำนองในที่ดินที่เป็นประกันถูกล้างหรือระงับสิ้นไปเพราะได้มีการชำระหนี้ตามสัญญาจำนองครบถ้วนแล้วนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share