แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีภริยาซึ่งทำการสมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สินสมรสของภริยามีอยู่ 1 ใน3 และของสามีมีอยู่ 2 ใน 3
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1477 สามีภริยาทำพินัยกรรมยกทรัพย์อันเป็นสินบริคณห์ให้แก่ผู้อื่นได้เฉพาะแต่ที่เป็นส่วนของตนเท่านั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1653 ผู้เขียนหรือพยานในพินัยกรรมจะเป็นผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมไม่ได้เท่านั้น มิได้ห้ามศาลไม่ให้รับฟังคำบุคคลเหล่านี้เป็นพยาน
ผู้ที่ครอบครองมิได้มีเจตนาครอบครองที่พิพาท ไม่มีทางได้กรรมสิทธิ์
เดิมโจทก์มอบอำนาจให้ไวยาวัจกรดำเนินคดี ต่อมาไวยาวัจกรตาย โจทก์จึงมอบอำนาจให้บุคคลอีกคนหนึ่งดำเนินคดีต่อไปในชั้นฎีกาผู้รับมอบอำนาจคนหลังจึงมีสิทธิยื่นฎีกาได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2476 นางเจียม แซ่นิ้มได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ที่มีอยู่ในเวลานั้นและที่จะมีต่อไปให้แก่โจทก์ สามีของนางเจียมรู้เห็นด้วย นางเจียมตายวันที่ 20 เมษายน 2478 โจทก์ได้เข้าครอบครองมรดกของนางเจียมทั้งหมดโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 25 ปีแล้ว เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2501 โจทก์นำพินัยกรรมของนางเจียมไปขอรับมรดกต่อสำนักงานที่ดิน จำเลยซึ่งมิใช่ทายาทโดยธรรมของนางเจียม นายหลำสามีนางเจียมได้คัดค้านว่า นายหลำได้ทำพินัยกรรมยกสินสมรสของนายหลำสองในสามส่วนในกองมรดกของนางเจียมให้แก่จำเลยตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2481 นายสมพลบิดาจำเลยกับพยานในพินัยกรรมได้สมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้นเพื่อแย่งมรดกของนางเจียม นายหลำไม่มีสิทธิในส่วนสินสมรสของตนในกองมรดก ขอให้ศาลพิพากษาทำลายพินัยกรรมของนายหลำ ให้ทรัพย์มรดกของนางเจียมเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องขัดขวางสิทธิของโจทก์
จำเลยให้การว่านางเจียมไม่ได้ทำพินัยกรรมที่โจทก์อ้างในฟ้องพยานในพินัยกรรมกับพวกได้สมคบกันทำปลอมขึ้นเพื่อเอามรดกของนางเจียมนายหลำ นางเจียมเป็นสามีภริยากันตามกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ดินตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องเป็นมรดกของนางเจียมเพียงหนึ่งในสาม อีกสองในสามยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายหลำ หาตกเป็นของโจทก์ไม่ นางเจียมตายแล้ว โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินแต่นายหลำครอบครองตลอดมา นายหลำทำพินัยกรรมยกที่ดินตามบัญชีท้ายฟ้องอันเป็นส่วนของนายหลำให้จำเลยแต่ผู้เดียว พินัยกรรมได้ระบุยกเลิกพินัยกรรมที่ยกทรัพย์มรดกให้โจทก์ด้วย
ศาลจังหวัดนนทบุรีฟังข้อเท็จจริงว่า นางเจียมทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกของนางเจียมให้โจทก์ โดยนายหลำสามีรู้เห็นยินยอมด้วยและคราวเดียวกันนี้นายหลำทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกของนายหลำให้โจทก์ด้วยพิพากษาว่าพินัยกรรมหมาย ล.1 ไม่มีผลใช้บังคับที่นาพิพาททั้ง 4 แปลงเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่นาพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนางเจียมนายหลำ นางเจียมมีกรรมสิทธิ์อยู่เพียง 1 ใน 3 โจทก์จึงมีสิทธิตามพินัยกรรมเพียง 1 ใน 3 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า โจทก์มีสิทธิในที่นาพิพาทตามบัญชีท้ายฟ้องเพียง 1 ใน 3 ส่วน ให้ยกคำขอโจทก์ที่ขอให้สั่งทำลายพินัยกรรมของนายหลำ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เดิมโจทก์มอบอำนาจให้นายพลอย มีสงฆ์ ดำเนินคดีต่อมานายพลอยตาย โจทก์จึงมอบอำนาจให้ขุนประมวลรัฐการดำเนินคดีต่อไปในชั้นฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าใบมอบอำนาจมีข้อความชัดว่าให้ขุนประมวลรัฐการมีอำนาจคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แทนนายพลอยขุนประมวลรัฐการจึงมีสิทธิยื่นฎีกาได้
ทรัพย์พิพาทเป็นที่ดินอันเป็นสินสมรสระหว่างนายหลำ นางเจียมซึ่งทำการสมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สินสมรสอันเป็นส่วนของนางเจียมจึงมีอยู่ 1 ใน 3 และของนายหลำมีอยู่ 2 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1477 เห็นได้ว่าสามีภริยาทำพินัยกรรมยกทรัพย์อันเป็นสินบริคณห์ให้แก่ผู้อื่นได้เฉพาะเท่าที่เป็นส่วนของตนเท่านั้น นางเจียมภริยาจึงมีอำนาจทำพินัยกรรมยกทรัพย์พิพาทให้วัดได้เฉพาะที่เป็นสินบริคณห์อันเป็นส่วนของตนซึ่งมีอยู่ 1 ใน 3 เท่านั้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นางเจียมทำพินัยกรรมยกทรัพย์ส่วนของตนที่มีอยู่เพียง 1 ใน 3 ให้แก่โจทก์ ส่วนอีก 2 ใน 3 อันเป็นส่วนของนายหลำ นายหลำเป็นผู้ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ แต่หลังจากนางเจียมวายชนม์แล้วนายหลำไม่ประสงค์ยกที่พิพาทตามพินัยกรรมของตนให้แก่โจทก์ต่อไป จึงได้ทำพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 21 ตุลาคม 2481 ยกที่พิพาทอันเป็นส่วนของตน 2 ใน 3 ส่วนนั้นให้แก่จำเลยโดยยกเลิกเพิกถอนพินัยกรรมฉบับก่อน
ที่โจทก์ฎีกาว่า นายสมพลเป็นผู้จัดการและเป็นผู้รักษาทรัพย์มรดกแทนจำเลยคำของนายสมพลจึงรับฟังเป็นพยานไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1653 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1653 นั้น บัญญัติห้ามผู้เขียนหรือพยานในพินัยกรรมจะเป็นผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมไม่ได้เท่านั้นเป็นแต่ผู้รู้เห็นในการทำพินัยกรรมเท่านั้น
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ได้ครอบครองทรัพย์พิพาทมากว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้นเห็นว่า เมื่อทางพิจารณาได้ความว่านายหลำมิได้ยกที่พิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์มิได้มีเจตนาครอบครองที่พิพาทส่วนของนายหลำ โจทก์จึงไม่มีทางที่จะได้กรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นส่วนของนายหลำ
พิพากษายืน