แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ย่อมใช้บังคับได้ตลอดถึงบริวารจำเลยด้วย
โจทก์ร้องว่า ผู้ร้องกับพวกเป็นบริวารจำเลยผู้ร้องกับพวกสู้ว่าไม่ได้เป็นบริวารจำเลยเพราะเป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยศาลสั่งว่าให้ผู้ร้องกับพวกอยู่ในที่ดินโจทก์ต่อไปอีก 3 เดือน คำสั่งศาลที่ว่านี้เป็นคำสั่งศาลชี้ขาดในประเด็นระหว่างผู้ร้องกับโจทก์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในข้อโต้เถียงแล้วมิได้มีฝ่ายใดอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นย่อมเด็ดขาดถึงที่สุดตามกฎหมายและบังคับคดีต่อไปตามคำสั่งนั้นได้ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา271)
ศาลสั่งให้ผู้ร้องกับพวกอยู่ในที่ดินโจทก์ได้เพียง 3 เดือน เพราะการเช่าจากจำเลยเป็นการอยู่โดยอาศัยอำนาจจำเลย ชื่อว่าเป็นบริวารจำเลย ผู้ร้องขอให้แก้เป็นให้ผู้ร้องอยู่ได้ต่อไป เพราะผู้ร้องมิใช่บริวารจำเลยย่อมไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา144(1) เพราะมิใช่การขอให้แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยตามมาตรา 143
ย่อยาว
คดีนี้ เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2503 ว่าจำเลยยอมออกจากที่ดินของโจทก์ภายใน 3 เดือนครั้นวันที่ 13 ธันวาคม 2503 โจทก์ยื่นคำร้องว่าบริวารของจำเลยไม่ยอมออกไปตามคำพิพากษารวม 47 ราย ขอให้เรียกมาสอบ ต่อมาวันที่ 10 มกราคม 2504 ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า ผู้ที่ถูกหมายเรียก 47 คนมาศาลแถลงว่าไม่ได้เป็นบริวารจำเลย แต่เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยทุกคน และแถลงว่ายังไม่มีที่ไป จึงยังไม่ได้ออกไปจากที่ดินโจทก์ โจทก์แถลงยอมให้บุคคลเหล่านี้อยู่ในที่ดินต่อไปได้เพียง 3 เดือน ศาลจึงสั่งว่าให้บุคคล 47 คนนี้อยู่ในที่ดินโจทก์ได้ต่อไปเพียง 3 เดือน นับแต่วันนี้ ผู้ถูกเรียกมาสอบทุกคนแถลงว่าต้องหาที่อยู่ใหม่ได้เสียก่อนจึงจะยอมเซ็นชื่อในรายงาน
ครั้นวันที่ 10 และ 11 เมษายน 2504 ผู้ร้องรวม 19 คนยื่นคำร้องว่าตามที่ศาลหมายเรียกผู้ร้องกับพวกมาศาล โดยโจทก์อ้างว่าเป็นบริวารจำเลย ให้ศาลสอบถามเพื่อบังคับนั้น ผู้ร้องกับพวกรวม 47 คนได้แถลงไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 10 มกราคม 2504 เพราะสำคัญผิดในสารสำคัญ ไม่ทราบว่าการเช่าที่ดินจากจำเลยจะเป็นบริวารของจำเลยด้วย ความจริงผู้ร้องเป็นผู้เช่าที่ดินจากคุณหญิงอินทรมนตรีเจ้าของเดิมปลูกบ้านอยู่อาศัย จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ ขอให้ศาลแก้ข้อผิดหลงที่ให้ผู้ร้องอยู่ได้เพียง 3 เดือนนั้นเสีย และไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งว่าผู้ร้องมิใช่บริวารจำเลย ยกคำร้องโจทก์ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2503
โจทก์คัดค้ารว่า ผู้ร้องไม่เคยเช่าที่ดินจากคุณหญิงอินทรมนตรีแต่เป็นผู้เช่าช่วงจากจำเลย ศาลมิได้สั่งโดยผิดหลง ถ้าผู้ร้องจะคัดค้านคำสั่งศาลก็ชอบที่จะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภายใน 1 เดือนนับแต่วันศาลสั่ง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ผู้ร้องทั้ง 19 มิใช่บริวารจำเลย ให้ยกคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2503
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำสั่งศาลลงวันที่ 10 มกราคม 2504 เป็นคำสั่งชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ให้ผู้ร้องอยู่อีกเพียง 3 เดือนหมายความว่า เมื่อพ้น 3 เดือนก็ต้องออกไป ถ้าผู้ร้องไม่ยอมออกตามคำสั่งก็ชอบที่จะคัดค้านหรืออุทธรณ์ภายในอายุอุทธรณ์ แต่กลับมาร้องขอให้ศาลไต่สวนใหม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรกพิพากษากลับให้ยกคำร้องลงวันที่ 10, 11 เมษายน2504 ของผู้ร้องทั้ง 19 คนนั้น
ผู้ร้องเพียง 17 คนฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์นั้น ย่อมใช้บังคับได้ตลอดถึงบริวารจำเลย
ปัญหาที่ว่า คำสั่งศาลลงวันที่ 10 มกราคม 2504 เป็นคำสั่งชี้ขาดในประเด็นข้อใดแห่งคดีระหว่างผู้ร้องกับโจทก์หรือไม่นั้นปรากฏตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2503 หาว่าผู้ร้องกับพวกรวม 47 คนเป็นบริวารจำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินโจทก์ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 10 มกราคม 2504 ผู้ร้องกับพวกรวม 47 คนต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นบริวารจำเลย เพราะเป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยทุกคน แถลงว่ายังไม่มีที่ไป จึงยังไม่ได้ออกจากที่ดินโจทก์ ดังนั้นในชั้นนี้จึงมีข้อโต้เถียงว่าจะให้ผู้ร้องกับพวก 47 คนออกจากที่ดินโจทก์ตั้งแต่เมื่อใดหรือไม่ การที่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 10 มกราคม 2504 ว่า ศาลจึงสั่งว่าให้บุคคลทั้ง 47 คนนี้อยู่ในที่ดินของโจทก์ได้ต่อไปเพียง 3 เดือนนับแต่วันนี้ จึงเป็นการชัดแจ้งว่าที่ศาลสั่งเช่นกล่าวนี้ เป็นคำสั่งศาลชี้ขาดในประเด็นระหว่างผู้ร้องกับพวก 47 คน ฝ่ายหนึ่งกับโจทก์ อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้โต้เถียงกันดังกล่าวข้างต้น โดยศาลเห็นว่าผู้ร้องกับพวก 47 คนมาศาล แสดงข้อแก้ตัวในการขัดขืนมิได้จึงให้ผู้ร้องกับพวกอยู่ในที่ดินของโจทก์ได้อีก 3 เดือน มิฉะนั้นจะออกหมายจับขัง ถ้ายังคงขัดขืนอยู่ต่อไป (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 298 วรรค 2) ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องลงวันที่ 10 เมษายน 2504 ขอให้ศาลแพ่งแก้คำสั่งศาลแพ่งลงวันที่ 10 มกราคม 2504 ซึ่งยุติถึงที่สุดแล้วนั้นอีก
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในข้อโต้เถียงแล้วมิได้มีฝ่ายใดอุทธรณ์คัดค้าน คำสั่งนั้นย่อมเด็ดขาดถึงที่สุดตามกฎหมายและบังคับคดีต่อไปตามคำสั่งนั้นได้(ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271)
ที่ผู้ร้องอ้างผิดหลงเพื่อขอให้ศาลแก้นั้น ก็ปรากฏว่าเดิมศาลสั่งให้ผู้ร้องกับพวก 47 คนอยู่ในที่ดินโจทก์ได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าผู้ร้องกับพวก 47 คน จะต้องออกจากที่ดินโจทก์ไปเมื่อพ้น 3 เดือนแล้ว เพราะการเช่าจากจำเลยเป็นการเข้าอยู่โดยอาศัยอำนาจจำเลย ชื่อว่าเป็นบริวารของจำเลยตามกฎหมายผู้ร้องขอให้แก้เป็นให้ผู้ร้องอยู่ได้ต่อไป เพราะผู้ร้องตกลงเช่าที่ดินจากคุณหญิงอินทรมนตรี มิใช่บริวารจำเลยดังนั้น จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144(1) เพราะมิใช่การขอให้แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยตาม มาตรา 143
พิพากษายืน