คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ ย่อมใช้บังคับได้ตลอดถึงบริวารจำเลยด้วย
โจทก์ร้องว่า ผู้ร้องกับพวกเป็นบริวารจำเลยผู้ร้องกับพวกสู้ว่าไม่ได้เป็นบริวารจำเลย เพราะเป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลย ศาลสั่งว่าให้ผู้ร้องกับพวกอยู่ในที่ดินโจทก์ต่อไปอีก 3 เดือน คำสั่งศาลที่ว่านี้เป็นคำสั่ง ศาลชี้ขาดในประเด็นระหว่างผู้ร้องกับโจทก์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในข้อโต้เถียงแล้วมิได้มีฝ่ายใดอุทธรณ์คัดค้าน คำสั่งนั้นย่อมเด็ดขาดถึงที่สุดตามกฎหมายและบังคับคดีต่อไปตามคำสั่งนั้นได้(ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271)
ศาลสั่งให้ผู้ร้องกับพวกอยู่ในที่ดินโจทก์ได้เพียง 3 เดือน เพราะการเช่าจากจำเลยเป็นการอยู่โดยอาศัยอำนาจจำเลย ชื่อว่าเป็นบริวารจำเลย ผู้ร้องขอให้แก้เป็นให้ผู้ร้องอยู่ต่อไป เพราะผู้ร้องมิใช่บริวารจำเลยย่อมไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144(1) เพราะมิใช่การขอให้แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยตามมาตรา 143

ย่อยาว

คดีนี้ เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๐๓ ว่าจำเลยยอมออกจากที่ดินของโจทก์ภายใน ๓ เดือน ครั้นวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๐๓ โจทก์ยื่นคำร้องว่าบริวารของจำเลยไม่ยอมออกไปตามคำพิพากษารวม ๔๗ รายขอให้เรียกมาสอบ ต่อมาวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๔ ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า ผู้ที่ถูกหมายเรียก ๔๗ คนมาศาลแถลงว่าไม่ได้เป็นบริวารจำเลย แต่เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยทุกคน และแถลงว่า ยังไม่มีที่ไป จึงยังไม่ได้ออกไปจากที่ดินโจทก์ โจทก์แถลงยอมให้บุคคลเหล่านี้อยู่ในที่ดินต่อไปได้เพียง ๓ เดือน ศาลจึงสั่งว่าให้บุคคล ๔๗ คนนี้อยู่ในที่ดินโจทก์ได้ต่อไปเพียง ๓ เดือนนับแต่วันนี้ผู้ถูกเรียกมาสอบทุกคนแถลงว่าต้องหาที่อยู่ใหม่ได้เสียก่อนจึงจะยอมเซ็นชื่อในรายงาน
ครั้นวันที่ ๑๐ และ ๑๑ เมษายน ๒๕๐๔ ผู้ร้องรวม ๑๙ คนยื่นคำร้องว่า ตามที่ศาลหมายเรียกผู้รองกับพวกมาศาล โดยโจทก์อ้างว่าเป็นบริวารจำเลย ให้ศาลสอบถามเพื่อบังคับนั้น ผู้ร้องกับพวกรวม ๔๗ คน ได้แถลงไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๔ เพราะสำคัญผิดในสารสำคัญ ไม่ทราบว่าการเช่าที่ดินจากจำเลยจะเป็นบริวารของจำเลยด้วย ความจริงผู้ร้องเป็นผู้เช่าที่ดินจากคุณหญิงอินทรมนตรีเจ้าของเดิมปลูกบ้านอยู่อาศัย จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ ขอให้ศาลแก้ข้อผิดหลงที่ให้ผู้ร้องอยู่ได้เพียง ๓ เดือนนั้นเสียและไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งว่าผู้ร้องมิใช่บริวารจำเลย ยกคำร้องโจทก์ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๐๓
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องไม่เคยเช่าที่ดินจากคุณหญิงอินทรมนตรี แต่เป็นผู้เช่าช่วงจากจำเลย ศาลมิได้สั่งโดยผิดหลง ถ้าผู้ร้องจะคัดค้านคำสั่งศาล ก็ชอบที่จะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภายใน ๑ เดือน นับแต่วันศาลสั่ง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งว่า ผู้ร้องทั้ง ๑๙ มิใช่บริวารจำเลย ให้ยกคำร้องของโจทก์ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๐๓
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำสั่งศาลลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๔ เป็นคำสั่งชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ ให้ผู้ร้องอยู่อีกเพียง ๓ เดือน หมายความว่า เมื่อพ้น ๓ เดือนก็ต้องออกไป ถ้าผู้ร้องไม่ยอมออกตามคำสั่ง ก็ชอบที่จะคัดค้านหรืออุทธรณ์ภายในอายุอุทธรณ์แต่กลับมาร้องขอให้ศาลไต่สวนใหม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ วรรคแรก พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องลงวันที่ ๑๐, ๑๑ เมษายน ๒๕๐๔ ของผู้ร้องทั้ง ๑๙ คนนั้น
ผู้ร้องเพียง ๑๗ คนฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์นั้นย่อมใช้บังคับได้ตอลดถึงบริวารจำเลย
ปัญหาที่ว่า คำสั่งศาลลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๔ เป็นคำสั่งชี้ขาดในประเด็นข้อใดแห่งคดีระหว่างผู้ร้องกับโจทก์หรือไม่นั้น ปรากฏตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๐๓ หาว่า ผู้ร้องกับพวกรวม ๔๗ คนเป็นบริวารจำเลย ไม่ยอมออกจากที่ดินโจทก์ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๔ ผู้ร้องกับพวกรวม ๔๗ คนต่อสู้ว่า ไม่ได้เป็นบริวารจำเลย เพราะเป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยทุกคน แถลงว่ายังไม่มีที่ไป จึงยังไม่ได้ออกจากที่ดินโจทก์ ดังนั้น ในชั้นนี้ จึงมีข้อโต้เถียงว่า จะให้ผู้ร้องกับพวก ๔๗ คนออกจากที่ดินโจทก์ตั้งแต่เมื่อใดหรือไม่การที่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๔ ว่า ศาลจึงสั่งว่าให้บุคคลทั้ง ๔๗ คนนี้อยู่ในที่ดินของโจทก์ได้ต่อไปเพียง ๓ เดือนนับแต่วันนี้ จึงเป็นการชัดแจ้งว่า ที่ศาลสั่งเช่นกล่าวนี้ เป็นคำสั่งศาลชี้ขาดในประเด็นระหว่างผู้ร้องกับพวก ๔๗ คน ฝ่ายหนึ่ง กับโจทก์ อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้โต้เถียงกันดังกล่าวข้างต้น โดยศาลเห็นว่าผู้ร้องกับพวก ๔๗ คนมาศาล แสดงข้อแก้ตัวในการขัดขืนมิได้ จึงให้ผู้ร้องกับพวกอยู่ในที่ดินของโจทก์ได้อีก ๓ เดือน มิฉะนั้น จะออกหมายจับขัง ถ้ายังคงขัดขืนอยู่ต่อไป(ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๙๘ วรรค ๒) ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๐๔ ขอให้ศาลแพ่งแก้คำสั่งศาลแพ่งลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๔ ซึ่งยุติถึงที่สุดแล้วนั้นอีก
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๔ ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในข้อโต้เถียงแล้ว มิได้มีฝ่ายใดอุทธรณ์คัดค้าน คำสั่งนั้นย่อมเด็ดขาดถึงที่สุดตามกฎหมายและบังคับคดีต่อไปตามคำสั่งนั้นได้ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑)
ที่ผู้ร้องอ้างว่าผิดหลง เพื่อขอให้ศาลแก้นั้น ก็ปรากฏว่า เดิมศาลสั่งให้ผู้ร้องกับพวก ๔๗ คน อยู่ในที่ดินโจทก์ได้เพียง ๓ เดือนเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าผู้ร้องกับพวก ๔๗ คนจะต้องออกจากที่ดินโจทก์ไปเมื่อพ้น ๓ เดือนแล้ว เพราะการเช่าจากจำเลยเป็นการเข้าอยู่โดยอาศัยอำนาจจำเลย ชื่อว่าเป็นบริวารของจำเลยตามกฎหมาย ผู้ร้องขอให้แก้เป็นให้ผู้ร้องอยู่ได้ต่อไป เพราะผู้ร้องตกลงเช่าที่ดินจากคุณหญิงอินทรมนตรี มิใช่บริวารจำเลย ดังนั้น จึง ไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๔(๑) เพราะมิใช่การขอให้แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยตามาตรา ๑๔๓
พิพากษายืน

Share