คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8154/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ร่วมกันชำระเงิน 1,350,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่จำเลยร่วมทั้งสอง หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ไม่ชำระให้บังคับเอาจากโจทก์เป็นเงิน 450,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และมีคำวินิจฉัยด้วยว่า ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างทำให้จำเลยร่วมทั้งสองได้รับความเสียหาย โจทก์ต้องรับผิดในมูลละเมิด ส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. รับผิดในมูลสัญญาซื้อขาย แม้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยร่วมทั้งสองจำนวนเดียวกัน แต่ก็มิใช่ร่วมกันทำให้จำเลยร่วมทั้งสองได้รับความเสียหาย หนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองและหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองมิใช่หนี้ร่วม แต่เป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระได้ เพียงแต่ศาลฎีกาจัดลำดับการชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ร่วมกันชำระแก่โจทก์ก่อน หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ไม่ชำระก็ให้บังคับเอาจากโจทก์
เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ไม่ชำระและโจทก์ได้นำเงินจำนวนที่ต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองตามคำพิพากษาศาลฎีกาไปวางศาลเป็นการชำระหนี้แก่จำเลยร่วมทั้งสอง การชำระหนี้แก่จำเลยร่วมทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนที่ผูกพันโจทก์ ไม่ใช่การชำระหนี้เพื่อหรือแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของจำเลยร่วมทั้งสองมาบังคับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ชำระหนี้แก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 226 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,003,911.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 981,721.85 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายวิศิษฐ์ และนางแขไข โจทก์ทั้งสองในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6858/2544 ของศาลชั้นต้นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้เนื่องจากจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองในคดีดังกล่าวแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยที่ 1 อาจฟ้องหรือถูกบุคคลดังกล่าวฟ้องเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) จึงให้เรียกนายวิศิษฐ์ และนางแขไข เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
จำเลยร่วมทั้งสองให้การและฟ้องแย้งขอให้โจทก์และจำเลยที่ 1 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยร่วมทั้งสองเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ส่งหมายให้จำเลยร่วมทั้งสองจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยร่วมทั้งสอง
จำเลยร่วมทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคนละ 223,091.43 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 218,160.41 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 ธันวาคม 2555) จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วมทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมทั้งสองให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า จำเลยร่วมทั้งสองเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6858/2544 ของศาลชั้นต้น มีโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคม ผู้ตาย เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2553 โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยร่วมทั้งสองซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคม ในราคา 1,350,000 บาท มีการจดทะเบียนโอนจากจำเลยที่ 2 เป็นชื่อจำเลยร่วมที่ 2 ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ จำเลยร่วมทั้งสองชำระเงินค่ารถให้แก่จำเลยที่ 1 และได้รับสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทแล้ว ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ประกาศยกเลิกการจดทะเบียนรถยนต์พิพาทและมีหนังสือให้จำเลยร่วมที่ 2 ส่งมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนและแผ่นป้ายทะเบียนรถคืนโจทก์ เนื่องจากเพิ่งตรวจพบว่าเอกสารหลักฐานประกอบคำขอจดทะเบียนรถใหม่ที่จำเลยที่ 2 ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์เป็นเอกสารปลอมและข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในขณะที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำขอจดทะเบียนรถใหม่พร้อมเอกสารหลักฐานประกอบคำขอจดทะเบียนนั้นเอกสารหลักฐานประกอบคำขอมีข้อพิรุธปรากฏชัดเจน แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์กลับออกสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 2 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมนำรถยนต์พิพาทที่ได้รับการจดทะเบียนโดยมิชอบดังกล่าวไปหลอกขายจำเลยร่วมทั้งสอง และการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ไม่ได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานประกอบคำขอจดทะเบียนรถใหม่ ทั้งที่ปรากฏข้อพิรุธชัดเจน ถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้จำเลยร่วมทั้งสองหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่ออกโดยถูกต้องจึงตกลงซื้อรถยนต์พิพาท จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยร่วมทั้งสอง เป็นเหตุให้จำเลยร่วมทั้งสองได้รับความเสียหายไม่ได้ใช้รถยนต์พิพาททั้งที่ชำระเงินค่ารถไปครบถ้วนโจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองในผลแห่งละเมิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้กระทำในการปฏิบัติตามหน้าที่ แต่ไม่มีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ร่วมมือหรือรู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมในการรับจดทะเบียนรถยนต์คันพิพาท ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างทำให้จำเลยร่วมทั้งสองได้รับความเสียหาย แต่โดยเหตุที่โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองในมูลหนี้ละเมิดอันเนื่องมาจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐสังกัดโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ ส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองในมูลหนี้สัญญาซื้อขาย แม้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยร่วมทั้งสองจำนวนเดียวกัน ก็ไม่อาจบังคับให้โจทก์ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมเต็มจำนวนได้ และเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ในการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์เป็นความประมาทเลินเล่อซึ่งมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือในหน่วยงานของรัฐ ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นว่าเอกสารต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายนั้น มีความผิดพลาดหรือบกพร่องประการใดหรือไม่ อาจถูกสั่งเพิกถอนในภายหลังหรือไม่ และทำให้ประชาชนซึ่งทำนิติกรรมเพราะเชื่อถือต่อหลักฐานที่หน่วยงานของรัฐออกให้ ได้รับความเสียหาย เห็นสมควรกำหนดให้โจทก์รับผิดชดใช้เงินแก่จำเลยร่วมทั้งสองเป็นจำนวนหนึ่งในสามของราคารถยนต์พิพาท แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมร่วมกันชำระเงิน 1,350,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยร่วมทั้งสอง หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมไม่ชำระให้บังคับเอาจากโจทก์เป็นเงิน 450,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยร่วมทั้งสอง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยร่วมทั้งสอง เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยร่วมทั้งสองชนะคดีในชั้นฎีกาต่อโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีการะหว่างจำเลยร่วมทั้งสองกับจำเลยที่ศาลยกฟ้องให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต่อมาทนายความจำเลยร่วมทั้งสองมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าศาลชั้นต้นมีหมายบังคับคดีโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมแล้ว การสืบทรัพย์ไม่ปรากฏว่าพบทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมจึงต้องบังคับคดีเอาแก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือถึงศาลชั้นต้นเพื่อขอวางเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้รับแจ้งว่าโจทก์ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเงิน 450,000 บาท ดอกเบี้ย ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2555 เป็นเงิน 479,989.73 บาท ค่าธรรมเนียมใช้แทน 50,715 บาท รวมเป็นเงิน 980,704.73 บาท หักเงินที่โจทก์วางไว้แล้วจำนวน 18,025 บาท คงเหลือเงินที่โจทก์ต้องรับผิด 962,679.73 บาท ต่อมาโจทก์นำเงินจำนวน 963,696.85 บาท ไปวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อเป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแก่จำเลยร่วมทั้งสอง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในชั้นนี้เพียงว่า โจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมในเงินที่โจทก์นำไปวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อเป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแก่จำเลยร่วมทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมร่วมกันชำระเงิน 1,350,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่จำเลยร่วมทั้งสอง หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมไม่ชำระให้บังคับเอาจากโจทก์เป็นเงิน 450,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และโจทก์นำเงินจำนวนที่ต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองไปวางศาล โจทก์จะมีสิทธิไล่เบี้ยในเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมได้ก็ต่อเมื่อโจทก์อยู่ในฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของจำเลยร่วมทั้งสองมาบังคับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมชำระหนี้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 วรรคหนึ่ง แต่การที่ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยด้วยว่า ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างทำให้จำเลยร่วมทั้งสองได้รับความเสียหาย มิใช่ร่วมกันทำให้จำเลยร่วมทั้งสองได้รับความเสียหาย แสดงว่าหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสอง และหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองมิใช่หนี้ร่วม แต่เป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระได้ เพียงแต่ศาลฎีกาจัดลำดับการชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมร่วมกันชำระแก่โจทก์ก่อนหากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมไม่ชำระก็ให้บังคับเอาจากโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมไม่ชำระ และโจทก์นำเงินจำนวนที่ต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองตามคำพิพากษาศาลฎีกาไปวางศาลเป็นการชำระหนี้แก่จำเลยร่วมทั้งสอง การชำระหนี้แก่จำเลยร่วมทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนที่ผูกพันโจทก์ ไม่ใช่การชำระหนี้เพื่อหรือแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคม โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของจำเลยร่วมทั้งสองมาบังคับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายอาคมชำระหนี้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share