คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจให้นับโทษจำคุกจำเลยสองสำนวนควบกันไปโดยไม่นับโทษติดต่อกันถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยโจทก์จะฎีกาโต้แย้งในเรื่องการขอให้นับโทษต่อไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับราชการตำแหน่งเสมียนตราจังหวัดสกลนครมีหน้าที่เบิกจ่ายเก็บรักษาเงินประเภทต่าง ๆ ของแผนกมหาดไทยจังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2494 จำเลยได้เบิกและรับเงินของทางราชการจากคลังจังหวัดสกลนครจำนวน 65,916.12 บาทมาเก็บรักษาไว้เพื่อใช้จ่ายตามหน้าที่ต่อมาระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2494 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2496กับเวลาใดไม่ปรากฏจำเลยได้ยักยอกเงินรายนี้ไปเป็นประโยชน์ตนเสีย 3,867 บาทเหตุเกิดที่ ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมืองสกล จ.สกลนคร ขอให้ลงโทษ และนับโทษต่อจากคดีอาญาดำที่ 388/2496 ด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธข้อหา แต่รับว่าเป็นจำเลยคนเดียวกันกับคดีอาญาดำที่ 388/2496

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์ (ไม่ระบุบทลงโทษ) ให้จำคุกจำเลย 1 ปี และให้จำเลยใช้หรือคืนเงินแก่แผนกมหาดไทยจังหวัดสกลนครเป็นเงิน 3,867 บาท ให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาดำที่ 388/2496 ของศาลนี้

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่าจำเลยได้ทำผิดจริงตามข้อหา จึงพิพากษายืน ส่วนการนับวันต้องขังให้เป็นไปตามคำพิพากษาคดีแดงของศาลอุทธรณ์ที่ 3443/2498

โจทก์ฎีกาขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีแดงที่ 80/2497 ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาปรึกษาคดีนี้แล้วเห็นว่าการที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลยพินิจให้นับโทษจำคุกจำเลยสองสำนวนควบกันไปโดยไม่นับโทษติดต่อกันซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ฎีกาโจทก์ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ไม่รับวินิจฉัย จึงให้ยกฎีกาโจทก์เสีย

Share