แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง ฉ้อโกง ++
++ คดีแดงที่ 810-813/2544
คำให้การของ ส.ซึ่งเป็นผู้กระทำผิดที่พาดพิงถึงจำเลยมีลักษณะเป็นการซัดทอด มิใช่ว่าจะรับฟังไม่ได้ และมิใช่เป็นการซัดทอดจำเลยในคดีเดียวกันโจทก์จึงอ้าง ส.มาเป็นพยานได้ และคำเบิกความของ ส.ในฐานะพยานชั้นศาลก็ไม่ต้องห้ามรับฟัง ทั้ง ส.มาเบิกความต่อศาล หาใช่พยานบอกเล่าไม่ จึงรับฟังได้
จ่าสิบเอก ส.กับพวก ได้หลอกลวงกองทัพบกผู้เสียหายที่ 1และผู้บัญชาการมณฑลทหารบกผู้เสียหายที่ 2 ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยจัดทำใบสำคัญความเห็นแพทย์ ใบรับรองรายการยาและอวัยวะเทียมที่ไม่มีจำหน่ายในสถานพยาบาล ใบสั่งยา และใบเสร็จรับเงินแสดงการจัดซื้ออวัยวะเทียมพร้อมอุปกรณ์ โดยอ้างว่าตนเองหรือภริยาหรือบิดามารดาป่วยหรือพิการ และได้ซื้ออวัยวะเทียมพร้อมอุปกรณ์อันเป็นความเท็จความจริงมิได้มีการซื้ออวัยวะเทียมพร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แล้วบุคคลทั้งสี่ได้นำเอกสารไปยื่นขอเบิกเงินจากเจ้าหน้าที่ของผู้เสียหายทั้งสอง ทำให้เจ้าหน้าที่ของผู้เสียหายทั้งสองหลงเชื่อ จ่ายเงินให้แก่บุคคลทั้งสี่อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงการที่จำเลยกับพวกได้ร่วมกันให้คำแนะนำช่วยเหลือ และจัดทำหลักฐานเพื่อเบิกค่ารักษาพยาบาลสำหรับอวัยวะเทียมและอุปกรณ์อันเป็นเท็จให้แก่จ่าสิบเอก ส.กับพวกโดยจำเลยกับพวกได้ประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินส่วนแบ่งจากค่ารักษาพยาบาลสำหรับอวัยวะเทียมและอุปกรณ์อันเป็นเท็จ ซึ่งจ่าสิบเอก ส.กับพวกได้รับจากผู้เสียหายทั้งสองจึงเป็นกรณีร่วมกระทำผิดฐานฉ้อโกง
ย่อยาว
คดีทั้งสี่สำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๓๔๑, ๙๑ กับให้จำเลยคืนเงินรวม ๑๙๒,๔๘๐ บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสองนับโทษของจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๗๘/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ ประกอบด้วยมาตรา ๘๓ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ รวม ๖ กระทงจำคุกกระทงละ ๑ ปี รวมจำคุก ๖ ปี ส่วนที่ขอให้นับโทษของจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๗๘/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้นนั้น ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลยังมิได้มีคำพิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อให้ได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสี่สำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษายืน
จำเลยฎีกาทั้งสี่สำนวน โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จ่าสิบเอกสุเมธ ไพรบึง จ่าสิบตรีล้อม เขม้นกสิกิจ ร้อยเอกจำนงค์ พะยิ้ม และจ่าสิบเอกเศกศึกหรือเสกศึก ศรีสมบูรณ์ ได้หลอกลวงกองทัพบก ผู้เสียหายที่ ๑ และพลตรีศิลกัลกัลยาณมิตร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๓๑ ผู้เสียหายที่ ๒ ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยจัดทำใบสำคัญความเห็นแพทย์ใบรับรองรายการยาและอวัยวะเทียมที่ไม่มีจำหน่ายในสถานพยาบาล ใบสั่งยา และใบเสร็จรับเงินแสดงการจัดซื้ออวัยวะเทียมพร้อมอุปกรณ์โดยอ้างว่าตนเองหรือภริยาหรือบิดามารดาป่วยหรือพิการ และได้ซื้ออวัยวะเทียมพร้อมอุปกรณ์อันเป็นความเท็จความจริงมิได้มีการซื้ออวัยวะเทียมพร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แล้วบุคคลทั้งสี่ได้นำเอกสารไปยื่นขอเบิกเงินจากเจ้าหน้าที่ของผู้เสียหายทั้งสอง ทำให้เจ้าหน้าที่ของผู้เสียหายทั้งสองหลงเชื่อ จ่ายเงินให้แก่บุคคลทั้งสี่อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งบุคคลทั้งสี่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ชดใช้เงินค่ารักษาพยาบาลที่รับไปแล้ว ทั้งให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและในชั้นศาล ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าบุคคลทั้งสี่มีความผิดฐานฉ้อโกง แต่ให้รอการลงโทษไว้ คดีสำหรับบุคคลทั้งสี่เป็นอันยุติ
คงมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดกับบุคลลทั้งสี่ตามฟ้องของโจทก์ทั้งสี่สำนวนหรือไม่ จำเลยฎีกาโต้แย้งสรุปเป็นใจความได้ว่า เหตุที่บุคคลทั้งสี่ให้การในชั้นสอบสวนอ้างว่าจำเลยเป็นคนจัดเอกสารเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลสำหรับอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ให้แก่บุคคลทั้งสี่นั้น เป็นเพราะบุคคลทั้งสี่ถูกนายทหารพระธรรมนูญขู่เข็ญว่าจะงดจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญ และให้สัญญาว่าจะได้รับการรอการลงอาญา จึงให้การปรักปรำจำเลย ทั้งนางทิพารัตน์หรือเปีย มเหศวรก็มิใช่ภริยาของจำเลย และจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแต่อย่างใด เห็นว่า ตามที่บุคคลทั้งสี่คือ จ่าสิบเอกสุเมธ จ่าสิบตรีล้อม ร้อยเอกจำนงค์ และจ่าสิบเอกเศกศึกหรือเสกศึกได้ให้การในชั้นสอบสวนว่าเป็นผู้เบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลสำหรับอวัยวะเทียมและอุปกรณ์อันเป็นเท็จ โดยมีจำเลยเป็นผู้ช่วยดำเนินการให้ร่วมกับนางทิพารัตน์หรือเปียนั้น บุคคลทั้งสี่ต่างให้การรับสารภาพในชั้นศาล โดยมิได้กล่าวอ้างเลยว่า บุคคลทั้งสี่ถูกข่มขู่หรือถูกจูงใจจากนายทหารพระธรรมนูญซึ่งนั่งฟังการสอบสวนของพนักงานสอบสวนในคดีนี้โดยตลอด คือพันโทนันทวิทย์ คงเพชร ผู้ทำหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริงมาตั้งแต่เบื้องต้น นอกจากนี้บุคคลทั้งสี่ก็มิได้คัดค้านหรือโต้แย้งแต่ประการใดว่า พันโทนันทวิทย์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันจะทำให้กระบวนการสอบสวนรับฟังไม่ได้ดังข้ออ้างของจำเลย จริงอยู่แม้คำให้การของบุคคลทั้งสี่ที่พาดพิงถึงจำเลยว่า ได้ร่วมกับนางทิพารัตน์หรือเปียจัดทำหลักฐานอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการเบิกค่ารักษาพยาบาลสำหรับอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ให้แก่บุคคลทั้งสี่นั้น มีลักษณะเป็นการซัดทอด แต่ก็ใช่ว่าจะรับฟังไม่ได้เสียทีเดียว ทั้งบุคคลทั้งสี่มิใช่จำเลยในคดีนี้ จึงมิใช่เป็นการซัดทอดจำเลยในคดีเดียวกัน โจทก์จึงอ้างบุคคลดังกล่าวมาเป็นพยานในคดีนี้ได้ และคำเบิกความของบุคคลทั้งสี่ในฐานะพยานชั้นศาลก็ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน เพราะพยานมาเบิกความด้วยตนเองโดยตรงต่อศาล หาใช่พยานบอกเล่าแต่อย่างใดไม่ ดังปรากฏจากคำเบิกความในชั้นศาลของจ่าสิบเอกสุเมธ จ่าสิบตรีล้อมและจ่าสิบเอกเศกศึกหรือเสกศึกที่ยืนยันตรงกันว่า จำเลยเป็นผู้ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือและจัดหาเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จประกอบเรื่องขอเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลสำหรับอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ให้แก่พยานทั้งสามจนกระทั่งเบิกค่ารักษาพยาบาลได้สำเร็จ โดยจำเลยได้รับผลประโยชน์คือส่วนแบ่งจากค่ารักษาพยาบาลอันเป็นเท็จดังกล่าวทุกราย ส่วนร้อยเอกจำนงค์พยานโจทก์อีกปากหนึ่งนั้น แม้เบิกความว่าได้ทราบเรื่องการเบิกค่ารักษาพยาบาลสำหรับอวัยวะเทียมจากเพื่อนของพยานก็ตาม แต่พยานก็ยอมรับว่าได้ทราบเรื่องดังกล่าวจากจำเลยด้วย โดยจำเลยให้พยานติดต่อกับนางทิพารัตน์ มเหศวร ตัวแทนของบริษัทไทยแลนด์ แขนขาเทียม จำกัด ในที่สุดนางทิพารัตน์ซึ่งพยานเห็นพูดคุยใกล้ชิดสนิทสนมกับจำเลย ก็ได้ดำเนินการช่วยเหลือให้พยานได้รับค่ารักษาพยาบาลสำหรับอวัยวะเทียมอันเป็นเท็จ และพยานได้ให้ส่วนแบ่งแก่นางทิพารัตน์ตามที่นางทิพารัตน์เรียกร้อง จึงสอดคล้องกับคำเบิกความของจ่าสิบเอกสุเมธและจ่าสิบตรีล้อมที่ว่านางเปียเป็นผู้ได้รับส่วนแบ่งเงินค่ารักษาพยาบาลสำหรับอวัยวะเทียมและอุปกรณ์จากพยานเช่นกัน ทั้งนี้ พันโทประยูร ต๊ะบีนตา ได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่านางเปียเป็นบุคคลเดียวกับนางทิพารัตน์ มเหศวร และเป็นภริยาของจำเลยข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยได้ให้การในชั้นสอบสวนยอมรับว่า จำเลยอยู่กินกับนางทิพารัตน์เป็นเวลา ๒๐ ปี โดยมิได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน ๑ คนปัจจุบันแยกกันอยู่ จำเลยมิได้โต้แย้งว่าการสอบสวนดังกล่าวไม่ชอบ พฤติการณ์แห่งคดีจึงรับฟังได้แน่ชัดปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยและนางทิพารัตน์หรือเปียได้ร่วมกันให้คำแนะนำช่วยเหลือ และจัดทำหลักฐานเพื่อเบิกค่ารักษาพยาบาลสำหรับอวัยวะเทียมและอุปกรณ์อันเป็นเท็จให้แก่จ่าสิบเอกสุเมธ จ่าสิบตรีล้อม จ่าสิบเอกเศกศึกหรือเสกศึก และร้อยเอกจำนงค์จริง โดยจำเลยและนางทิพารัตน์หรือเปียได้ประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินส่วนแบ่งจากค่ารักษาพยาบาลสำหรับอวัยวะเทียมและอุปกรณ์อันเป็นเท็จ ซึ่งบุคคลทั้งสี่ได้รับจากผู้เสียหายทั้งสอง จึงเป็นกรณีร่วมกระทำผิดฐานฉ้อโกงกับบุคคลทั้งสี่ตามฟ้องของโจทก์ทั้งสี่สำนวน
พิพากษายืน.