คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7824-7825/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลมีคำสั่งตั้งบุคคลหลายคนเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันนั้น การทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกจะต้องจัดการร่วมกันโดยถือเอาเสียงข้างมากตาม ป.พ.พ. มาตรา 1726 และหากปรากฏว่าผู้จัดการมรดกร่วมคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ผู้จัดการมรดกที่เหลือย่อมไม่อาจจัดการมรดกต่อไปได้ เมื่อ ศ. ได้ถึงแก่ความตายไปแล้วในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ตั้ง ศ. เป็นผู้จัดการมรดกจึงไม่มีผลต่อไป ทั้งการเป็นผู้จัดการมรดกเป็นการเฉพาะตัวของ ศ. ไม่อาจรับมรดกความกันได้ ไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยปัญหาตามที่ผู้ร้องฎีกาขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับ ศ. อีกต่อไป จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ

ย่อยาว

สำนวนแรกผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งนายศุภกิจ ศิวะเกื้อ บุตรผู้คัดค้าน เป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ ขอให้ยกคำร้องขอ
สำนวนที่สองผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งนายศุภกิจเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนายเติม ศิวะเกื้อ ผู้ร้อง และนายศุภกิจ ศิวะเกื้อ ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวบุญทรวง ศิวะเกื้อ ผู้ตาย ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ตั้งนายศุภกิจ ศิวะเกื้อ เป็นผู้จัดการมรดกนางสาวบุญทรวง ศิวะเกื้อ ผู้ตายเพียงผู้เดียว ยกคำร้องขอของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นายศุภกิจ ศิวะเกื้อ ถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านยื่นคำร้องลงวันที่ 15 มีนาคม 2547 ขอให้จำหน่ายคดี
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้นายศุภกิจ ศิวะเกื้อ ซึ่งผู้คัดค้านร้องขอให้เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวบุญทรวง ศิวะเกื้อ ผู้ตาย เป็นผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียว ผู้ร้องยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ตั้งผู้ร้องและนายศุภกิจเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมกันตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เห็นว่า กรณีที่ศาลมีคำสั้งตั้งบุคคลหลายคนเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันแล้ว การทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกจะต้องจัดการร่วมกันโดยถือเอาเสียงข้างมากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 และหากปรากฏว่าผู้จัดการมรดกร่วมคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ผู้จัดการมรดกที่เหลือย่อมไม่อาจจัดการมรดกต่อไปได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายศุภกิจได้ถึงแก่ความตายไปแล้วในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ตั้งนายศุภกิจเป็นผู้จัดการมรดกจึงไม่มีผลต่อไป ทั้งการเป็นผู้จัดการมรดกเป็นการเฉพาะตัวของนายศุภกิจไม่อาจรับมรดกความกันได้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยปัญหาตามที่ผู้ร้องฎีกาขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับนายศุภกิจต่อไป”
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีทั้งสองสำนวนจากสารบบความของศาลฎีกา

Share