คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมูลคดีในการไต่สวนมูลฟ้องว่าจำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ถือว่าศาลทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกัน ซึ่งตามลักษณะอุทธรณ์ฎีกาลักษณะ 2 ม.219 บัญญัติว่าห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในดคีซึ่งศาลเดิมและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนั้นคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ฟ้องทหารว่าสมคบกับพลเรือนกระทำผิดศาลไต่สวนแล้วได้ความว่าทหารกระทำผิดแต่ลำพังผู้เดียวดังนี้ศาลพลเรือนย่อมต้องจำหน่ายคดีที่ทหารถูกฟ้องนั้นเสียเพราะไม่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ รับราชการเป็นทหารอากาศประการโรงเรียนการบินดอนเมือง จำเลยที่ ๒ เป็นพนักงานขับรถยนต์ของกรมชลประทาน เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๔๙๖ เวลากลางวันจำเลยทั้งสองสมคบกันโดยจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์ของกรมชลประทานไปครั้นถึงบ้านหนองม่วงจำเลยที่ ๒ ใช้ให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ขับรถยนต์แทนจำเลยที่ ๑ ขับโดยความเร็วเกินขนาดปราศจากความระมัดระวังชน ด.ช.เกรียว ศรีวงษ์ บุตรโจทก์ตาย เหตุเกิดที่ตำบลชอนสรเดช อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ขอให้ลงโทษ
ศาลชั้นต้นไต่สวนฟ้องแล้วสั่งว่าโจทก์ฟ้องว่าเป็นการสมคบแต่ได้ความว่าไม่เป็นการสมคบในการกระทำผิดไม่ได้ความว่าจำเลยที่ ๒ ใช้จำเลยที่ ๑ คดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ไม่มีมูลความผิดตามโจทก์ฟ้องให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๑ ตามฟ้องว่าเป็นทหารอากาศประจำการตามข้อเท็จจริงไม่เป็นกรณีที่ศาลพลเรือนจะรับพิจารณาได้ จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีนายมนูญจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาการขอให้รับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปอีก
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่าคดีนี้ศาลยังมิได้สั่งให้รับประทับฟ้องของโจทก์ และศาลทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันว่านายบุญลือ จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นผู้กระทำผิดร่วมกันนายมนูญจำเลยซึ่งตาม ป.วิ.อาญา ม.๑๗๐ โจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกา ลักษณะอุทธรณ์ฎีกาตามลักษณะ ๒ ม.๒๑๙ ห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในคดีซึ่งศาลเดิมและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีเฉพาะนายบุญลือจำเลยที่ ๒ โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ส่วนนายมนูญจำเลยที่ ๑ นั้นปรากฏว่าได้รับฎีกาของโจทก์ไว้แต่วันที่ ๒๐ ก.ค.๙๘ ก่อนวันใช้ พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ ตามบทเฉพาะกาลแห่งพ.ร.บ.ที่กล่าวนี้ ม.๖๖ ว่าบรรดาคดีที่ศาลฎีกาได้รับไว้พิจารณาพิพากษาก่อนวันใช้พ.ร.บ.นี้ให้บังคับตาม ก.ม.ซึ่งใช้ก่อนวันใช้ พ.ร.บ.นี้จนกว่าคดีนั้น ๆ จะถึงที่สุด ได้กล่าวมาแล้วว่าศาลทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่านายบุญลือจำเลยที่ ๒ มิได้กระทำผิดร่วมกับนายมนูญจำเลยที่ ๑ และคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ เป็นอันยุติไปโดยศาลยังมิได้รับประทับฟ้อง จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๒ มิได้กระทำผิดด้วยกันหรือร่วมกับนายมนูญจำเลยที่ ๑ นายมนูญจำเลยที่ ๑ จึงไม่อยู่ในอำนาจที่ศาลพลเรือนจะรับไว้พิจารณา
ศาลทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว จึงพิพากษายืน.

Share