คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 803/2521

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 จดหมายเลขเครื่องรถจักรยานยนต์ที่ถูกชิงไปให้ผู้เสียหายดู ถ้าใช่ของผู้เสียหายก็ให้เอาเงินมาไถ่และบอกให้ตำรวจผู้จับไปเอารถของกลางคืนมาจากจำเลยที่ 1 ได้เป็นการรู้เห็นเป็นใจกับคนร้ายเรียกเงินค่าไถ่รถ ช่วยจำหน่ายตาม มาตรา357

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 กำหนด 3 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วย โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ได้พิเคราะห์พยานโจทก์จำเลยโดยตลอดแล้ว ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ 2 จะมีความผิดฐานรับของโจรหรือไม่ได้ความว่าผู้เสียหายเป็นคนไปติดต่อกับนายชลินทร์ ทาเกิด และนายนองใจมุข พยานโจทก์ให้ช่วยสืบหารถจักรยานยนต์ ที่หายเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม2518 นายชลินทร์เบิกความว่า รุ่งขึ้นวันที่ 4 ตุลาคม 2518 ได้ไปพบจำเลยที่ 2ให้ช่วยสืบหารถจักรยานยนต์ที่หาย ต่อมาวันที่ 10 เดือนเดียวกัน จำเลยที่ 2จึงจดหมายเลขเครื่องรถจักรยานยนต์ ลงบนเศษกระดาษเพื่อให้นายชลินทร์นำไปให้ผู้เสียหายดู ถ้าใช่ก็ให้ผู้เสียหายเอาเงินมาไถ่ 4,000 บาท จำเลยที่ 2ก็เบิกความรับว่า นายอุดมจดหมายเลขเครื่องรถจักรยานยนต์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในพงหญ้ากลางทุ่งนามามอบให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงเอากระดาษที่นายอุดมจดให้นั้นไปให้กับนายชลินทร์ ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าการที่ได้รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายคืนมา เพราะจำเลยที่ 2 จดหมายเลขเครื่องรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายในเศษกระดาษให้นายชลินทร์นำมาให้ผู้เสียหายและให้นำเงิน 4,000 บาทมาไถ่ ปัญหามีว่า จำเลยที่ 2 ติดต่อกับคนร้ายในฐานะเป็นคนกลางติดต่อไถ่รถจากคนร้ายให้ผู้เสียหาย หรือว่าจำเลยที่ 2 ช่วยคนร้ายติดต่อเรียกค่าไถ่จากผู้เสียหายให้คนร้าย เห็นว่าจำเลยที่ 2 รู้จากนายชลินทร์ว่ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายถูกคนร้ายชิงทรัพย์ไปและต้องการไถ่คืน ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปบอกเล่าเรื่องที่ผู้เสียหายต้องการไถ่รถจักรยานยนต์ที่ถูกคนร้ายชิงไปให้นายอุดมทราบมาก่อน เหตุใดอยู่ ๆ นายอุดมจึงจดหมายเลขเครื่องรถจักรยานยนต์ที่พบซุกซ่อนอยู่ในพงหญ้ากลางทุ่งนามาให้จำเลยที่ 2 ทั้งจำเลยที่ 2 ก็มิได้อ้างนายอุดมมาเป็นพยาน ดังนั้นที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าได้หมายเลขเครื่องรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นของผู้เสียหายมาจากนายอุดมจึงไม่น่าเชื่อ จำเลยที่ 2ก็มิได้เบิกความปฏิเสธว่าเมื่อเอาเศษกระดาษจดหมายเลขเครื่องรถจักรยานยนต์ไปให้นายชลินทร์ดูนั้น จำเลยไม่ได้บอกนายชลินทร์ว่าถ้าใช่รถของผู้เสียหายให้นำเงิน 4,000 บาทไปไถ่ จำเลยที่ 2 บอกกับนายชลินทร์เองว่าให้ผู้เสียหายเอาเงินมาไถ่ 4,000 บาท มิได้อ้างว่าคนร้ายต้องการเงินค่าไถ่ 4,000 บาทการที่จำเลยที่ 2 ไปติดต่อกับคนร้ายจนรู้หมายเลขเครื่องรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นของผู้เสียหายมาบอกนายชลินทร์ให้นายชลินทร์ไปบอกผู้เสียหายให้นำเงิน 4,000 บาทมาไถ่ จึงเป็นไปในลักษณะซ่อนเร้นปิดบังส่อให้เห็นว่ามีผลประโยชน์ร่วมกับคนร้าย นายชลินทร์และนายนองเบิกความว่า ก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะไปจับจำเลยที่ 2 นั้น พยานได้ไปบอกจำเลยที่ 2 ว่าผู้เสียหายจะมาขอดูรถ จำเลยที่ 2 ไม่ยอมให้ดูแต่ให้ผู้เสียหายนำเงินมาไถ่เลยนายชลินทร์เป็นญาติกับจำเลยที่ 2 ส่วนนายนองไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2มาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะมาเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 และได้ความจากผู้เสียหาย จ่าสิบตำรวจทองใบ สร้อยสนธิ์ นายเขื่อนแก้ว ปาลี สิบตำรวจโทมานพ ธรรมธิ พยานโจทก์ว่า เมื่อไปพบจำเลยที่ 2 นั่งกินเหล้าอยู่กับนายเขื่อนแก้ว ปาลี ที่บ้านนายเนตรหรือสุเมธ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวจำเลยที่ 2 ไว้และถามว่า รถจักรยานยนต์อยู่ที่ไหน จำเลยที่ 2 บอกว่าอยู่ที่บ้านนายสอาดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ให้นายเขื่อนแก้วพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเอารถที่บ้านจำเลยที่ 1 จนได้ตัว จำเลยที่ 1 มาพร้อมกับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย แม้จะไม่ได้ความชัดว่ายึดรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายได้ที่ไหน แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าได้มาจากการที่จำเลยที่ 2 ให้นายเขื่อนแก้วพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเอารถที่บ้านจำเลยที่ 1 ซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 2 ติดต่อกับคนร้ายจนรู้ที่ซ่อนรถของผู้เสียหายและปิดบังไว้เพื่อประโยชน์ในการเรียกค่าไถ่ พฤติการณ์ที่ได้วินิจฉัยมาดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 รู้เห็นเป็นใจกับคนร้ายเรียกเอาเงินค่าไถ่จากผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 2จึงเป็นการช่วยเหลือคนร้ายจำหน่ายทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 จำเลยที่ 2 จึงต้องมีความผิดฐานรับของโจร

พิพากษากลับ บังคับตามศาลชั้นต้น

Share