คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8021/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การสืบพยานประกอบคำรับสารภาพในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานหนักกว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่งศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักประกันและคุ้มครองเสรีภาพของจำเลยในคดีอาญาที่มีอัตราโทษสูงมิให้ต้องรับโทษหนักเกินกว่าความผิดที่กระทำ แม้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวจะมิได้บัญญัติว่าพยานหลักฐานนั้นหมายถึงพยานหลักฐานในเรื่องใดบ้าง แต่ก็เป็นที่เห็นได้อยู่ในตัวว่าต้องเป็นพยานหลักฐานซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226 นั้นเอง เพียงแต่โจทก์ไม่จำต้องนำสืบให้ได้ความชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดดังเช่นในคดีที่จำเลยให้การปฏิเสธ เพราะเป็นการนำสืบเพื่อประกอบคำรับสารภาพของจำเลยให้เห็นเป็นเค้ามูลว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามที่ให้การรับสารภาพ ก็เป็นการเพียงพอแล้วที่จะลงโทษจำเลยตามคำรับสารภาพนั้น แต่พยานหลักฐานเหล่านั้นต้องมิใช่พยานหลักฐานอันเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพนั้นเองและต้องไม่ใช่ถ้อยคำของเจ้าพนักงานผู้ได้มาซึ่งคำรับนั้น มิฉะนั้นย่อมเท่ากับเป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยโดยอาศัยแต่คำรับสารภาพของจำเลยโดยลำพังซึ่งไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมาย
โจทก์มีแต่คำเบิกความของพนักงานสอบสวนเป็นพยานประกอบคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยว่า จำเลยเคยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยเดินทางไปซื้อเมทแอมเฟตามีนและฝิ่นดิบของกลางจากประเทศ พ. แล้วนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การรับสารภาพของจำเลยโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยยังไม่เป็นที่พอใจศาลว่าจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนและฝิ่นดิบของกลางจากประเทศ พ. เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันคือ จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1จำนวน 50 เม็ด น้ำหนัก 4.50 กรัม กับอีก 5 เม็ด น้ำหนักไม่ปรากฏชัดจากประเทศสหภาพพม่าเข้ามาในราชอาณาจักร แล้วจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครอง และเสพเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5 เม็ด น้ำหนักไม่ปรากฏชัด โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายนอกจากนี้จำเลยยังนำฝิ่นดิบอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 จำนวน 1 ห่อน้ำหนัก 199.20 กรัม จากประเทศสหภาพพม่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แล้วจำเลยมีฝิ่นดิบดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 16, 17, 65, 67, 68, 69, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91 ริบฝิ่นดิบและกระเป๋าของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 16, 17 วรรคหนึ่ง,65 วรรคหนึ่ง, 67, 68 วรรคสอง, 69 วรรคหนึ่ง, 102 ฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 ปีฐานนำฝิ่นดิบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำคุก 20 ปีฐานมีฝิ่นดิบไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง ฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุก 50 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 คงจำคุก 25 ปี ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานนำฝิ่นดิบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำคุก 10 ปี ฐานมีฝิ่นดิบไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 37 ปี12 เดือน ริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,16, 17 วรรคหนึ่ง, 65 วรรคหนึ่ง, 67, 68 วรรคสอง, 69 วรรคหนึ่ง, 102ฐานนำเข้าและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายกับฐานนำเข้าและมีฝิ่นดิบไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ต่างเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำเมทแอมเฟตามีนและนำฝิ่นดิบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรลงโทษจำคุกตลอดชีวิตฐานนำฝิ่นดิบมาในราชอาณาจักร จำคุก 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรคงจำคุก 25 ปี ฐานนำฝิ่นดิบเข้ามาในราชอาณาจักรคงจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 35 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เนื่องจากโจทก์มิได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดมาในฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คงมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนและฝิ่นดิบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในชั้นพิจารณา ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้นศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง” ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันและคุ้มครองเสรีภาพของจำเลยในคดีอาญาที่มีอัตราโทษสูงมิให้ต้องรับโทษหนักเกินกว่าความผิดที่กระทำ ดังนั้น โจทก์ย่อมมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลให้เป็นที่พอใจว่าจำเลยได้นำเมทแอมเฟตามีนและฝิ่นดิบของกลางจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายจริงตามที่จำเลยให้การรับสารภาพเพราะพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคหนึ่งกำหนดโทษสำหรับความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เข้ามาในราชอาณาจักร ให้จำคุกตลอดชีวิต และมาตรา 68 วรรคสอง กำหนดโทษสำหรับความผิดฐานนำฝิ่นดิบอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 เข้ามาในราชอาณาจักร ให้จำคุกตั้งแต่ยี่สิบปีถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงห้าแสนบาท ส่วนปัญหาที่ว่า พยานหลักฐานที่โจทก์ต้องนำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยให้เป็นที่พอใจศาลว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงหมายถึงพยานหลักฐานในเรื่องใดบ้างนั้น แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติถึงพยานหลักฐานดังกล่าวไว้ ก็เป็นที่เห็นได้อยู่ในตัวว่าต้องเป็นพยานหลักฐานซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226นั่นเอง เพียงแต่โจทก์ไม่จำต้องนำสืบให้ได้ความชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดดังเช่นในคดีที่จำเลยให้การปฏิเสธ เพราะเป็นการนำสืบเพื่อประกอบคำรับสารภาพของจำเลยให้เห็นเป็นเค้ามูลว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามที่ให้การรับสารภาพ ก็เป็นการเพียงพอแล้วที่จะลงโทษจำเลยตามคำรับสารภาพนั้น อย่างไรก็ดีพยานหลักฐานที่จะนำมาประกอบคำรับสารภาพของจำเลยเช่นว่านี้ต้องมิใช่พยานหลักฐานอันเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพนั้นเองและต้องไม่ใช่ถ้อยคำของเจ้าพนักงานผู้ได้มาซึ่งคำรับนั้น มิฉะนั้นย่อมเท่ากับเป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยโดยอาศัยแต่คำรับสารภาพของจำเลยโดยลำพังซึ่งไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายสำหรับคดีนี้โจทก์มีแต่คำเบิกความของพันตำรวจตรีวินัย ประทุมสุขพนักงานสอบสวนเป็นพยานประกอบบันทึกคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยว่าจำเลยเคยให้การต่อพันตำรวจตรีวินัยว่า จำเลยเดินทางไปซื้อเมทแอมเฟตามีนและฝิ่นดิบของกลางจากประเทศสหภาพพม่าแล้วนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การรับสารภาพของจำเลย โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยยังไม่เป็นที่พอใจศาลว่าจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนและฝิ่นดิบของกลางจากประเทศสหภาพพม่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 17 วรรคหนึ่ง, 67, 69 วรรคหนึ่งเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 ปี ฐานมีฝิ่นดิบไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 3 ปีจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก1 ปี 6 เดือน ยกฟ้องในข้อหานำเมทแอมเฟตามีนและฝิ่นดิบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share