แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในระหว่างการสืบพยานจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลนำสำนวนคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งมาผูกติดไว้กับสำนวนคดีตามที่ทนายจำเลยยื่นคำแถลงขอและอนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาออกไปตามที่ทนายจำเลยแถลงขอเวลาในการตรวจสอบสำนวนคดีที่มาผูกติดไว้ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานถัดไป เจ้าพนักงานศาลมิได้นำสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวมาผูกติดไว้ แต่ทนายจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านทั้งยังนำพยานเข้าเบิกความต่อจนเสร็จสิ้น จนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีต่อมา จากพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยมิได้โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสองแต่อย่างใดข้อที่ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินไปจากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันนับแต่ทำสัญญาจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินคืนแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 43,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 35,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ระหว่างพิจารณานายประกอบ สุพัฒน์ ยื่นคำร้องขออนุญาตเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 35,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2539เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 เมษายน 2541) ต้องไม่เกิน 8,750 บาท ตามที่โจทก์ขอ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมในฐานะผู้ค้ำประกันชำระแทน
จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วม
จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมที่อ้างว่าศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้เจ้าพนักงานศาลนำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1334/2540 ของศาลชั้นต้นมาผูกติดกับสำนวนนี้ ทำให้จำเลยที่ 1และจำเลยร่วมไม่มีโอกาสใช้สำนวนดังกล่าวซักค้านพยานโจทก์และสืบพยานจำเลยได้ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาลชั้นต้นทั้งหมด ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ใหม่ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งจึงไม่รับวินิจฉัยให้ และพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ปรากฏข้อเท็จจริงตามสำนวนว่าในวันที่ 26 พฤศจิกายน2542 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลยต่อจากนัดที่ผ่านมา จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลนำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1334/2540 มาผูกติดไว้กับสำนวนคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้วันเดียวกันนี้ ทนายจำเลยที่ 1 และทนายจำเลยร่วมซึ่งเป็นคนเดียวกันได้แถลงต่อศาลชั้นต้นขอเลื่อนคดีอ้างว่าต้องตรวจสอบเอกสารหลายฉบับในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1334/2540 ซึ่งต้องใช้เวลา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลยต่อวันที่ 9 ธันวาคม 2542 เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยดังกล่าวเจ้าพนักงานศาลมิได้นำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1334/2540มาผูกไว้ในคดีนี้ ซึ่งจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมทราบแล้วว่ามิได้มีการนำสำนวนดังกล่าวมาผูกติดไว้ตามคำแถลงที่ยื่นไว้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านที่มิได้มีการนำสำนวนที่ขอมาผูกไว้ในคดีนี้ว่าเป็นการมิชอบทั้งยังนำพยานเข้าเบิกความต่อจนเสร็จสิ้น และแถลงติดใจสืบพยานจำเลยเพียงเท่านี้ จนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีในวันที่ 30 ธันวาคม 2542จากพฤติการณ์ดังกล่าวแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมมิได้โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 วรรคสองแต่อย่างใด ดังนั้น ข้อที่ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบดังกล่าวหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่รับวินิจฉัยให้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน