แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ส. ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจาก ส. แล้ว เจ้าพนักงานตำรวจเสนอว่าหาก ส. ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้จำหน่ายให้ก็จะไม่ดำเนินคดี ส. จึงไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย การที่ ส. มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ จึงเป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจากการจูงใจและให้คำมั่นสัญญาโดยมิชอบของ เจ้าพนักงานตำรวจ รับฟังเป็นพยานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 1 เม็ด น้ำหนัก 0.08 กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7, 8, 15, 66, 67 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 5 ปี คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอทัพทันจังหวัดอุทัยธานี จับกุมจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยานำส่งพนักงานสอบสวนพร้อมด้วยเงินจำนวน 120 บาท และเมทแอมเฟตามีนจำนวน1 เม็ด เป็นของกลาง โดยกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ในปัญหานี้ได้ความจากคำเบิกความของนายดาบตำรวจเรวัต กำพล สิบตำรวจตรีสมบัติศรีอ่อนทอง (ขณะเกิดเหตุมียศเป็นพลตำรวจ) พยานโจทก์ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสอง และนายสมพร บัวผัน พยานโจทก์ซึ่งเป็นสายลับผู้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยทั้งสองว่าก่อนจับกุมพยานทั้งสองผู้ร่วมจับกุมได้สืบทราบว่าที่บ้านจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจึงวางแผนจับกุม โดยมอบธนบัตรฉบับละ 100 บาท1 ฉบับ และฉบับละ 20 บาท 1 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งได้ถ่ายเอกสารและลงรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไว้แล้วให้แก่นายสมพรเพื่อใช้เป็นเงินล่อซื้อ เมื่อนายสมพรได้รับมอบเงินดังกล่าวก็เดินทางไปที่บ้านจำเลยทั้งสอง สิบตำรวจตรีสมบัติไปซุ่มดูการล่อซื้ออยู่ที่บ้านนายผินทับทิม ผู้ใหญ่บ้านท้องที่เกิดเหตุ ส่วนนายดาบตำรวจเรวัตกับพวกไปรออยู่ที่ศาลาพักร้อนข้างทางห่างจากบ้านจำเลยทั้งสองประมาณ300 เมตร ต่อมาประมาณ 30 นาที นายสมพรกลับไปพบนายดาบตำรวจเรวัตที่ศาลาพักร้อนพร้อมกับมอบเมทแอมเฟตามีนให้จำนวน 1 เม็ดโดยแจ้งว่าซื้อมาจากจำเลยทั้งสอง นายดาบตำรวจเรวัตได้วิทยุแจ้งให้สิบตำรวจตรีสมบัติทราบ พยานทั้งสองผู้ร่วมจับกุมกับพวกไปที่บ้านจำเลยทั้งสอง เห็นจำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านไปที่ร้านค้า พยานทั้งสองผู้ร่วมจับกุมกับพวกตามไปและแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้น ผลการตรวจค้นจำเลยที่ 1 พบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างขวาที่จำเลยที่ 1 สวมอยู่แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายที่ตัวจำเลยที่ 2 จึงร่วมกันจับกุมจำเลยทั้งสองแจ้งข้อหาว่า ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน)โดยผิดกฎหมาย จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ เห็นว่า นายดาบตำรวจเรวัตเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่าพยานรอสายลับอยู่ที่ศาลาพักร้อนห่างจากบ้านจำเลยทั้งสองประมาณ 300 เมตร มองไม่เห็นบ้านจำเลยทั้งสอง แสดงให้เห็นว่านายดาบตำรวจเรวัตไม่เห็นเหตุการณ์ขณะนายสมพรล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยทั้งสอง ส่วนที่สิบตำรวจตรีสมบัติเบิกความตอบโจทก์และตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า พยานไปซุ่มอยู่บริเวณด้านหลังบ้านนายผินห่างบ้านนายผินประมาณ 10 เมตรซึ่งอยู่ห่างจากบ้านจำเลยทั้งสองประมาณ 30 ถึง 40 เมตร และอ้างว่าได้เห็นเหตุการณ์ขณะนายสมพรล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยทั้งสองนั้น ปรากฏว่าในการสืบพยานจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองขอให้ศาลชั้นต้นไปเดินเผชิญสืบที่บ้านนายผิน ปรากฏตามรายงานการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นว่า บ้านนายผินอยู่ห่างจากบ้านจำเลยทั้งสองประมาณ 100 เมตรซึ่งแตกต่างกับคำเบิกความของสิบตำรวจตรีสมบัติอย่างมาก ทั้งจากบ้านนายผินก็ไม่สามารถมองเห็นบ้านจำเลยทั้งสองได้เลย เพราะมีต้นไม้และบ้านหลังอื่นบังอยู่ ดังนี้ ที่สิบตำรวจตรีสมบัติเบิกความอ้างว่า เห็นเหตุการณ์ขณะนายสมพรล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยทั้งสอง จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ พยานโจทก์คงเหลือเพียงนายสมพรปากเดียวที่เบิกความอ้างว่าได้ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้จากจำเลยทั้งสอง แต่นายสมพรเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสองและถามติงของโจทก์สรุปได้ความว่าพยานเป็นสายลับซื้อเมทแอมเฟตามีนให้เจ้าพนักงานตำรวจครั้งเกิดเหตุนี้เป็นครั้งแรกโดยในวันเกิดเหตุคดีนี้พยานถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจากพยาน แล้วเจ้าพนักงานตำรวจเสนอว่าหากพยานไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้จำหน่ายให้ก็จะไม่ดำเนินคดีแก่พยาน การที่นายสมพรมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า พยานได้ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยทั้งสองหรืออีกนัยหนึ่งจำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้นั้น จึงเชื่อได้ว่าที่นายสมพรอ้างว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมและเกลี้ยกล่อมให้เป็นสายลับดังกล่าวเป็นการเบิกความตามความจริง ดังนั้น การที่นายสมพรอ้างต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยทั้งสองเป็นผู้ร่วมกันจำหน่ายให้จึงเกิดจากการจูงใจให้คำมั่นสัญญาของเจ้าพนักงานตำรวจว่าจะไม่ดำเนินคดีในความผิดที่นายสมพรถูกจับกุมโดยมิชอบการที่นายสมพรมาเบิกความเป็นพยานโจทก์จึงเป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจากการจูงใจและให้คำมั่นสัญญาโดยมิชอบของเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าว จึงรับฟังคำเบิกความของนายสมพรเป็นพยานไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 นอกจากนี้เมื่อคำนึงถึงว่าในวันเกิดเหตุนายสมพรได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง โดยตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยทั้งสองนั้นโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ดังวินิจฉัยมาข้างต้นจึงทำให้มีเหตุสงสัยว่าเมทแอมเฟตามีนที่นายสมพรนำมามอบให้แก่นายดาบตำรวจเรวัตดังกล่าวเป็นเมทแอมเฟตามีนที่นายสมพรล่อซื้อได้มาจากจำเลยทั้งสองจริงหรือไม่ ส่วนธนบัตรของกลางเอกสารหมายจ.1 แม้จะตรวจค้นได้จากตัวจำเลยที่ 1 แต่จำเลยทั้งสองก็นำสืบโต้แย้งอยู่ว่าเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ได้มาจากการขายปลา ซึ่งในข้อนี้นายดาบตำรวจเรวัตและสิบตำรวจตรีสมบัติก็เบิกความว่า เมื่อตรวจค้นได้ธนบัตรตามเอกสารหมาย จ.1 จากตัวจำเลยที่ 1 แล้ว ได้สอบถามจำเลยที่ 1ก็อ้างว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการขายปลา จึงเจือสมกับข้อกล่าวอ้างของจำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบตามที่วินิจฉัยมาไม่มีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นการกระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน