แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโดยเห็นว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมแต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นฟ้องที่ใช้ได้ไม่เคลือบคลุมพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาหรือสั่งใหม่ตามรูปคดี ดังนี้ จำเลยจะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ได้ เพราะจำเลยยังมิได้เข้าสู่ฐานะเป็นจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง ๓ คนในฐานะกรรมการของวัดโจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาเงินและเก็บเงินรายได้ของวัด ได้ร่วมกันทุจริตยักยอกเงินของวัดรวมหลายรายการตามฟ้อง เบียดบังไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๓๕๒, ๓๕๓, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่ระบุว่าจำเลยได้ยักยอกทรัพย์โจทก์ไปเมื่อวันเดือนปีเวลาใด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องได้บรรยายวันเวลาเกิดเหตุมาเพียงพอแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาหรือสั่งใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องที่เอกชนฟ้องความอาญาต่อศาลเมื่อศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ไต่สวนมูลฟ้องต่อไปจำเลยยังหาเข้ามาสู่ฐานะเป็นจำเลย ที่จะมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ไม่ ให้ยกฎีกาจำเลย.