คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7045/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(2) มีความมุ่งหมายที่จะให้สิทธิแก่นายจ้างสามารถลงโทษลูกจ้างที่ตั้งใจหรือมีเจตนากระทำการโดยรู้ว่าการกระทำของตนจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างเท่านั้น มิได้มุ่งเน้นที่ความเสียหายว่าได้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพียงใด ซึ่งแตกต่างจากกรณีกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ตั้งใจตามมาตรา 119(3) ที่มีเงื่อนไขว่า ความเสียหายที่นายจ้างได้รับจะต้องถึงขั้นเสียหายอย่างร้ายแรง นายจ้างจึงจะมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ฉะนั้นไม่ว่าการกระทำของโจทก์จะทำให้จำเลยได้รับความเสียหายแล้วหรือไม่ จึงมิใช่ข้อสาระสำคัญที่จะนำมาเป็นหลักในการวินิจฉัย
หมายแจ้งคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้บริษัทจำเลยใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์ในการผลิตกระดาษในคดีที่บริษัท อ. ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าโรงงานดังกล่าวมีไปถึงบริษัทจำเลย ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลคือ ช. กรรมการผู้จัดการจำเลย โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลมีหน้าที่บริหารงานบุคคลภายในบริษัทจำเลยให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับการทำงานและคำสั่งของ ช. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา โจทก์ไม่มีหน้าที่ในการดำเนินการตามคำสั่งศาลดังกล่าว แต่โจทก์ได้แสดงตนเป็นพนักงานของบริษัท อ. ซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายปฏิปักษ์กับจำเลย และขอจัดประชุมเพื่อให้พนักงานของจำเลยที่มีอยู่ประมาณ 200 คน สมัครใจว่าจะเป็นลูกจ้างใคร กับทั้งจะนำคนงานบริษัท อ. เข้ามาในโรงงานซึ่งอาจก่อให้เกิดการแตกแยกในหมู่พนักงานของจำเลย และเกิดความเสียหายแก่จำเลยได้ พฤติการณ์ของโจทก์เป็นการทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับจำเลยและมีเจตนาจะให้ความร่วมมือช่วยเหลือฝ่ายตรงข้ามกับจำเลย มิใช่เป็นการกระทำเพื่อให้คำสั่งของศาลเป็นไปโดยถูกต้องและบรรลุผลโดยสุจริตใจ ซึ่งนอกจากเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายแล้ว ยังเป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะผู้จัดการฝ่ายบุคคลของจำเลยให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ตามระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยอีกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2540 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างอัตราค่าจ้างเดือนละ 12,500 บาท กำหนดจ่ายทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม2545 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้กระทำผิดและบอกเลิกจ้างให้ทราบล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์ทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 75,000บาท และมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าถึงคราวถัดไปเป็นเงิน 19,351บาท จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 1 ถึง 13 กรกฎาคม 2545 เป็นเงิน 5,239 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 19,351 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ค่าจ้าง 5,239 บาท และค่าชดเชย 75,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลประพฤติตนไม่เหมาะสมกับการเป็นลูกจ้าง จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยมีข้อพิพาทกับบริษัท เอ.เอส.เอ.เชียงใหม่กล่องกระดาษ จำกัด เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2545 มีผู้อ้างว่าเป็นพนักงานของบริษัท เอ.เอส.เอ. เชียงใหม่กล่องกระดาษ จำกัด พยายามจะเข้ามาภายในบริเวณโรงงานของจำเลย แต่ยามไม่ให้บุคคลดังกล่าวเข้ามา โจทก์ออกคำสั่งให้ยามเปิดประตูแต่ยามไม่ยอม และโจทก์แจ้งต่อนายเสน่ห์ กันทะวงศ์ หัวหน้าคนงานแผนกขนส่งว่าโรงงานไม่ใช่ของจำเลยอีกต่อไป ศาลมีคำสั่งให้คนงานรับเงินเดือนของบริษัท เอ.เอส.เอ.เชียงใหม่กล่องกระดาษ จำกัด ใครไม่สมัครงานจะตกงาน และโจทก์บอกว่าตนเป็นพนักงานของบริษัท เอ.เอส.เอ. เชียงใหม่กล่องกระดาษ จำกัด แล้ว การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ต่อมาวันที่ 15 กรกฎาคม 2545 จำเลยจึงปลดโจทก์ออกโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยไม่ได้ค้างจ่ายค่าจ้างจำนวน 5,239 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างจำนวน 5,239 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเช่าโรงงานผลิตกล่องกระดาษจากบริษัท เอ.เอส.เอ.เชียงใหม่กล่องกระดาษ จำกัด โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล บริษัท เอ.เอส.เอ. เชียงใหม่กล่องกระดาษจำกัด ฟ้องขับไล่จำเลย และศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยและบริวารใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์ที่ใช้ในการผลิตกระดาษและกล่องกระดาษ มีการส่งหมายแจ้งคำสั่งศาลดังกล่าวถึงนายชัยยงค์ พึ่งรัศมี กรรมการผู้จัดการของจำเลยแล้ว ต่อมาโจทก์พูดกับนายเสน่ห์ขอจัดสถานที่เรียกพนักงานเข้าประชุมเพื่อสอบถามความสมัครใจของพนักงานว่าจะเลือกอยู่กับจำเลย หรือบริษัท เอ.เอส.เอ. เชียงใหม่กล่องกระดาษ จำกัดและในวันดังกล่าวโจทก์จะนำพนักงานของบริษัท เอ.เอส.เอ.เชียงใหม่กล่องกระดาษจำกัด เข้ามาในบริษัทจำเลย แต่ยามของบริษัทจำเลยไม่อนุญาต แล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119(2) ที่บัญญัติไว้ว่า นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายจะต้องเป็นเรื่องที่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างขึ้นแล้ว และความเสียหายนั้นเกิดจากการกระทำของลูกจ้างโดยตรง และเป็นการกระทำโดยจงใจของลูกจ้างด้วยแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ความเสียหายยังมิได้เกิดขึ้นจริงเพราะพนักงานทุกคนยังเชื่อฟังคำสั่งของจำเลยและอยู่ปฏิบัติงานให้แก่จำเลยด้วยความสามัคคี มิได้แตกแยกกันแต่อย่างใดนั้น เห็นว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119(2) มีความมุ่งหมายที่จะให้สิทธิแก่นายจ้างสามารถลงโทษลูกจ้างที่ตั้งใจหรือมีเจตนากระทำการโดยรู้ว่าการกระทำของตนจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างเท่านั้น มิได้มุ่งเน้นที่ความเสียหายว่าได้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพียงใด ซึ่งแตกต่างจากกรณีกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ตั้งใจตามมาตรา 119(3) ที่มีเงื่อนไขว่า ความเสียหายที่นายจ้างได้รับจะต้องถึงขั้นเสียหายอย่างร้ายแรง นายจ้างจึงจะมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยฉะนั้น ไม่ว่าการกระทำของโจทก์จะทำให้จำเลยได้รับความเสียหายแล้วหรือไม่ จึงมิใช่ข้อสาระสำคัญที่จะนำมาเป็นหลักในการวินิจฉัย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์กระทำการโดยสุจริต เพราะเชื่อว่าโจทก์ จำเลยและพนักงานทุกคนจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ให้หยุดเดินเครื่องจักรและให้พนักงานทุกคนได้รับค่าจ้างจากบริษัท เอ.เอส.เอ. เชียงใหม่กล่องกระดาษ จำกัด และจำเลยก็มิได้มีคำสั่งโดยตรงถึงโจทก์ ห้ามมิให้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลอันจะเป็นผลให้นายจ้างได้รับความเสียหาย และไม่สมกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 การกระทำของโจทก์จึงเป็นการกระทำเพื่อให้คำสั่งของศาลเป็นไปโดยถูกต้องและลุล่วงไปด้วยดี มิใช่กระทำเพื่อให้ความร่วมมือกับฝ่ายตรงกันข้ามนั้น เห็นว่าหมายแจ้งคำสั่งศาลมีไปถึงจำเลย ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลคือนายชัยยงค์ พึ่งรัศมี กรรมการผู้จัดการจำเลย โจทก์เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลมีหน้าที่บริหารงานบุคคลภายในบริษัทจำเลยให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับการทำงานและคำสั่งของนายชัยยงค์ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา โจทก์ไม่มีหน้าที่ในการดำเนินการตามคำสั่งศาลดังกล่าว แต่ข้อเท็จจริงได้ความตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่าโจทก์ได้แสดงตนเป็นพนักงานของบริษัท เอ.เอส.เอ. เชียงใหม่กล่องกระดาษ จำกัด ซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายปฏิปักษ์กับจำเลย และขอจัดประชุมเพื่อให้พนักงานของจำเลยที่มีอยู่ประมาณ 200 คน สมัครใจว่าจะเป็นลูกจ้างใคร กับทั้งจะนำคนงานบริษัท เอ.เอส.เอ. เชียงใหม่กล่องกระดาษ จำกัด เข้ามาในโรงงานซึ่งอาจก่อให้เกิดการแตกแยกในหมู่พนักงานของจำเลย และเกิดความเสียหายแก่จำเลยได้พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นการทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับจำเลยและมีเจตนาจะให้ความร่วมมือช่วยเหลือฝ่ายตรงข้ามกับจำเลยมิใช่เป็นการกระทำเพื่อให้คำสั่งของศาลเป็นไปโดยถูกต้องและบรรลุผลโดยสุจริตใจ ซึ่งนอกจากเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายแล้ว ยังเป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะผู้จัดการฝ่ายบุคคลของจำเลยให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ตามระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยอีกด้วย ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share