คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนสร้อยราคา 5,000 บาท ที่ยืมไปหรือให้ใช้ราคาพร้อมทั้งดอกเบี้ยนับจากวันผิดนัดถึงวันฟ้องอีก 560 บาท เป็นคดีมีทุนทรัพย์เกินกว่า 5,000 บาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานจำเลยควรรับฟังได้ว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว เป็นการเถียงว่า ควรรับฟังคำพยานอย่างไร จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อคำฟ้องฎีกาของจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและศาลชั้นต้นก็สั่งรับฎีกามาแล้ว แม้จะใช้คำว่ารับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม ก็หาได้ผูกมัดศาลฎีกาให้จำต้องถือตามด้วยไม่ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคำฟ้องฎีกาของจำเลยได้

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยืมสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำราคา ๕,๐๐๐ บาท ไปจากโจทก์ กำหนดส่งคืนภายใน ๒๐ เดือน หากส่งคืนให้ไม่ได้ สัญญาจะใช้เงิน ๕,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ ครั้นครบกำหนดส่งคืนจำเลยไม่คืนทรัพย์ที่ยืม ทวงถามแล้ว จำเลยก็เพิกเฉย จึงขอให้จำเลยคืนสร้อยคอและสร้อยข้อมือ หรือใช้เงิน ๕,๐๐๐ บาท และใช้เงินค่าดอกเบี้ยคิดตั้งแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๕๖๐ บาท พร้อมทั้งค่าดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะคืนสร้อยหรือชำระเงินแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่าได้ยืมสร้อยคอและสร้อยข้อมือตามฟ้องไปจากโจทก์จริง แต่จำเลยได้ชำระราคาทรัพย์ที่ยืมให้โจทก์หมดสิ้นแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยชำระราคาทรัพย์ที่ยืมให้โจทก์เพียง ๒,๓๕๐ บาท จำเลยคงเป็นหนี้โจทก์อีก ๒,๖๕๐ บาท พิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน ๒,๖๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่จำเลยผิดนัด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและรับฎีกาจำเลยในประเด็นการรับฟังพยานซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนสร้อยราคา ๕,๐๐๐ บาท ที่ยืมไปหรือให้ใช้ราคาพร้อมทั้งดอกเบี้ยนับจากวันผิดนัดถึงวันฟ้องอีก ๖๕๐ บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกินกว่า ๕,๐๐๐ บาท หาต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ ส่วนที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายในประเด็นการรับฟังพยานนั้น ความจริงจำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานจำเลยควรฟังได้ว่า จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วเป็นการเถียงว่า ควรรับฟังคำพยานอย่างไร เป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อฎีกาจำเลยไม่ต้องห้าม และศาลชั้นต้นก็สั่งรับฎีกามาแล้ว แม้จะใช้คำว่าสั่งรับในปัญหาข้อกฎหมาย ก็หาได้ผูกมัดศาลฎีกาให้จำต้องถือตามไปด้วยไม่ แล้วศาลฎีกาได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยชำระราคาทรัพย์ที่ยืมให้โจทก์แล้วรวมเป็นเงิน ๒,๖๕๐ บาท คงค้างชำระอยู่อีก ๒,๓๕๐บาท พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำนวน ๒,๓๕๐ บาท

Share