คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9223/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกำหนดให้ผู้กู้ต้องชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันที่สิ้นสุดของเดือน หากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยก็มีข้อกำหนดไว้เป็นการเฉพาะให้ผู้ให้กู้มีสิทธินำดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้นเงินเดิมเป็นต้นเงินใหม่ได้ทันที แต่มิได้ให้สิทธิผู้ให้กู้ที่จะคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ดังนี้ เมื่อสัญญายังไม่เลิก ผู้ให้กู้จึงจะคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยอ้างเหตุผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยหาได้ไม่
ผู้ให้กู้บอกเลิกสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปยังผู้กู้กำหนดให้ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ และผู้กู้ได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 18 เดือนเดียวกัน สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงเลิกกันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ แต่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกำหนดให้คิดดอกเบี้ยทบต้นทุกวันสิ้นเดือนเป็นรายเดือน ดังนั้น ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2537 ซึ่งเป็นวันที่สัญญาเลิกกันยังไม่ถึง 1 เดือน ตามสัญญาและประเพณีที่โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้น โจทก์จึงคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คิดได้แต่เพียงดอกเบี้ยไม่ทบต้น
เมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนด แต่ยังมีการเดินบัญชีตลอดมา สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงยังมีผลอยู่ โดยไม่มีกำหนดเวลา การที่ผู้ให้กู้เป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาและเรียกให้ผู้กู้ชำระหนี้โดยผู้กู้มิได้ผิดสัญญา จึงเป็นกรณีที่ผู้ให้กู้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ให้กู้ย่อมไม่มีสิทธิอ้างบันทึกข้อตกลงที่กำหนดให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดในกรณีผู้กู้ผิดสัญญาได้
สัญญารับชำระหนี้ที่ผู้กู้ทำให้ไว้แก่ผู้ให้กู้เพื่อเป็นหลักฐานในการรับจะชำระหนี้ มิใช่สัญญากู้ยืมระหว่างผู้ให้กู้กับผู้กู้ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร สัญญารับชำระหนี้ดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้
แม้สัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับจะมีผู้ค้ำประกันเกินกว่าหนึ่งคน แต่เป็นการร่วมกันค้ำประกันในภาระหนี้รายเดียวกัน การปิดอากรแสตมป์แต่ละฉบับเพียง 10 บาท จึงครบถ้วนตามประมวลรัษฎากรแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี ๙๑๘,๗๙๔.๘๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ของต้นเงิน ๘๗๗,๓๙๓.๙๒ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันชำระหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออก ๕๙,๖๗๘,๗๕๒.๓๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๔,๓๔๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันชำระเงิน ๔๖,๖๓๗,๗๓๙.๗๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี จากต้นเงิน ๓๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาด หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่บังคับคดีชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามฟ้อง โจทก์คำนวณดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง และไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเพราะจำเลยที่ ๑ มิได้เบิกเงินเกินกว่าวงเงิน และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นกับจำเลยที่ ๑ เนื่องจากสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีได้เลิกกันนานแล้ว และเกินกว่า ๕ ปี ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับดอกเบี้ยขาดอายุความและเคลือบคลุม จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ในฐานะผู้ค้ำประกันและผู้จำนองจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนนี้ จำเลยที่ ๑ ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์นำไปขายให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย หากขายไม่ได้จำเลยที่ ๑ ตกลงขายตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ จึงไม่มีลักษณะเป็นการกู้เงินกันตามกฎหมาย เพราะผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินมีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินได้ โจทก์ไม่ใช้สิทธิฟ้องคดีภายใน ๑ ปี นับแต่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนด ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยตกลงทำสัญญารับชำระหนี้กับโจทก์ สัญญาดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดชอบ จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้สินทุกประเภทของจำเลยที่ ๑ ในวงเงินเพียง ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท จึงรับผิดเฉพาะในวงเงินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน ๙๑๘,๗๙๔.๘๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปีของต้นเงิน ๘๗๗,๓๙๓.๙๒ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกแก่โจทก์โดยจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๕๙,๖๗๘,๗๕๒.๓๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปีของต้นเงิน ๓๔,๓๔๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และจำเลยที่ ๔ กับที่ ๒ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการรับผิดไม่จำกัดจำนวนร่วมกันชำระเงิน ๓๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๗ จนกว่าจะชำระเสร็จ (ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่เกิน ๑๑,๖๓๗,๗๓๙.๗๒ บาท) หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักร รวม ๑๒ เครื่อง ที่จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาด ชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในเรื่องกู้เบิกเงินเกินบัญชี แต่ไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะฟ้องใหม่ภายในอายุความ ให้บังคับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรในวงเงิน ๕,๔๘๒,๐๐๐ บาท และ ๒,๔๘๓,๐๐๐ บาท ตามลำดับพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า … เห็นควรวินิจฉัยฎีกาของโจทก์เสียก่อน ปัญหามีว่าในกรณีที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดหรือไม่ เห็นว่า สำหรับกรณีผิดนัดชำระดอกเบี้ยซึ่งตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ. ๖๘ ข้อ ๒ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ ต้องชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันที่สิ้นสุดของเดือน หากจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยก็มีข้อกำหนดไว้เป็นการเฉพาะแล้วในข้อ ๓ ให้โจทก์มีสิทธินำดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้นเงินเดิมเป็นต้นเงินใหม่ได้ทันที แต่มิได้ให้สิทธิโจทก์ที่จะคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ดังนี้ เมื่อสัญญายังไม่เลิก โจทก์จึงจะคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยอ้างเหตุจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยหาได้ไม่ นอกจากนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ เอกสารหมาย จ. ๖ บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ ๑ กำหนดให้ชำระหนี้ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ และจำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ ๑๘ เดือนเดียวกัน สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงเลิกกันนับแต่วันนี้ แต่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ. ๖๘ กำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นทุกวันสิ้นเดือนเป็นรายเดือน ดังนั้น ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๑ ถึงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ ซึ่งเป็นวันที่สัญญาเลิกกันนั้นยังไม่ถึง ๑ เดือน ตามสัญญาและประเพณีที่โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้น โจทก์จึงคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คิดได้แต่เพียงดอกเบี้ยไม่ทบต้น และศาลฎีกาเห็นต่อไปว่า เมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๓ แต่ยังมีการเดินบัญชีตลอดมา สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงยังมีผลอยู่ โดยไม่มีกำหนดเวลา การที่โจทก์เป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาและเรียกให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ โดยทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาอย่างไร จึงเป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเท่านั้น มิใช่จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิอ้างบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๒ เอกสารหมาย จ. ๖๙ ข้อ ๓ ที่กำหนดให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดได้ แต่ต้องคิดดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่โจทก์คิดจากลูกค้าชั้นดีบวกอีกอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี ซึ่ง ณ วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ คือ อัตราร้อยละ ๑๑ ต่อปี ตามประกาศของโจทก์เอกสารหมาย จ. ๖๔ แผ่นที่ ๗ จำเลยทั้งสี่จึงต้องร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน ๙๐๓,๔๕๕.๖๓ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๑ ต่อปี นับแต่วันดังกล่าว โดยต้องหักจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ นำเข้าบัญชีชำระคืนเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๗ วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๗ วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๗ วันที่ ๑๕ และ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๗ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๘ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๘ วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๘ วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๘ และวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๙ ตามรายการบัญชีเอกสารหมาย จ. ๗๔ ออกจากดอกเบี้ยค้างชำระและต้นเงินเสียก่อน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในประเด็นนี้โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ฟ้องคดีใหม่ภายในอายุความนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน…
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อต่อไปมีว่า สัญญารับชำระหนี้เป็นสัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ มิได้ปิดอากรแสตมป์ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ หรือไม่ เห็นว่า สัญญารับชำระหนี้ดังกล่าวเป็นเพียงการที่จำเลยที่ ๑ ทำให้ไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นหลักฐานในการรับจะชำระหนี้เท่านั้น จึงมิใช่สัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรดังที่จำเลยทั้งสี่ฎีกา สัญญารับชำระหนี้ดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ในข้อสุดท้ายว่า สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ. ๔๑ จ. ๔๒ และ จ. ๔๔ ซึ่งมีผู้ค้ำประกันแต่ละฉบับเกินกว่าหนึ่งคนแต่ปิดอากรแสตมป์เพียงฉบับละ ๑๐ บาท เป็นการปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานมิได้หรือไม่ เห็นว่า แม้สัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับจะมีผู้ค้ำประกันเกินกว่าหนึ่งคน แต่เป็นการร่วมกันค้ำประกันในภาระหนี้รายเดียวกัน การปิดอากรแสตมป์แต่ละฉบับเพียง ๑๐ บาท จึงครบถ้วนตามประมวลรัษฎากรแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน ๙๐๓,๔๕๕.๖๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๑ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ โดยต้องหักเงินที่จำเลยที่ ๑ นำเข้าชำระหนี้ภายหลังจากนั้นรวม ๑๐ ครั้ง ตามรายการบัญชีเอกสารหมาย จ. ๗๔ แต่ละคราวชำระดอกเบี้ยค้างชำระและหากยังเหลือเงินก็ชำระต้นเงินให้แล้วเสร็จเสียก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share