คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 347/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่า โจทก์ได้เดินเข้าออกผ่านที่ดินของจำเลยตั้งแต่ที่ดินแปลงนี้ยังเป็นของ ช. ย่อมเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์ได้ภารจำยอมมาโดยอายุความซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401,1382 โจทก์จะต้องใช้ทางเดินดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จึงจะได้ภารจำยอมในที่ดินของจำเลยตามทางเดินนั้น ระยะเวลา 10 ปี จึงเป็นสารสำคัญแห่งข้ออ้างที่โจทก์พึงอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องของโจทก์เมื่อคำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวถึงระยะเวลาดังกล่าวอันเป็นสารสำคัญแห่งข้ออ้างที่จะอาศัยเป็นหลักในการที่จะบังคับให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอม จึงต้องถือว่าเป็นคำฟ้องซึ่งมิได้แสดงให้เห็นสิทธิของโจทก์ที่จะขอให้บังคับจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนภารจำยอมในทางเดินพิพาท

จำเลยให้การว่าทางพิพาทไม่ใช่ทางภารจำยอมและโจทก์มีทางออกทางอื่น

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์อ้างว่า โจทก์ได้เดินเข้าออกผ่านที่ดินของจำเลยตั้งแต่ที่ดินแปลงนั้นยังเป็นของนายชัชวาลย์ ย่อมเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์อ้างว่าโจทก์ได้ภารจำยอมมาโดยอายุความนั่นเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382 โจทก์จะต้องใช้ทางเดินตามฟ้องติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้ภารจำยอมในที่ดินของจำเลยตามทางเดินนั้น ระยะเวลาสิบปีจึงเป็นสารสำคัญแห่งข้ออ้างที่โจทก์พึงอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องของโจทก์ เมื่อคำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวถึงสารสำคัญแห่งข้ออ้างที่จะอาศัยเป็นหลักในการที่จะบังคับให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมตามคำขอท้ายฟ้องเช่นนี้ จะต้องถือว่าเป็นคำฟ้องซึ่งมิได้แสดงให้เห็นสิทธิของโจทก์ที่จะขอให้บังคับจำเลยได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นซึ่งโจทก์ฎีกาโต้เถียงมา

พิพากษายืน

Share