คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8019/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สำเนาใบส่งของจะเป็นสำเนาเอกสารก็ตาม แต่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าต้นฉบับถูกทำลายไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้ ทั้งโจทก์ได้แนบสำเนามาท้ายฟ้อง จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว เพียงแต่คัดค้านว่าเอกสารดังกล่าวเป็นสำเนามิใช่ต้นฉบับ จึงฟังได้ว่าเอกสารดังกล่าวถูกต้องเป็นจริงแล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 476,928 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้การทำนองเดียวกันกับที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 476,928 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ 3 ธันวาคม 2542) ต้องไม่เกิน 17,247.81 บาท กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท และให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนนี้ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 7,500 บาท
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ใบวางบิลทั้งสองฉบับเป็นต้นฉบับมิใช่สำเนาเอกสาร ส่วนสำเนาใบส่งของ แม้จะเป็นสำเนาเอกสารก็ตาม แต่นางสาวณัฐผู้ดำเนินคดีแทนโจกท์ได้เบิกความฟังได้ว่าต้นฉบับถูกทำลายไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้ ทั้งโจทก์ได้แนบสำเนามาท้ายคำฟ้อง จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าวโดยเพียงแต่คัดค้านว่าเอกสารดังกล่าวเป็นสำเนามิใช่ต้นฉบับ จึงฟังได้ว่าเอกสารดังกล่าวถูกต้องเป็นจริงแล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงสามารถรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความในชั้นนี้แทนโจทก์ 5,000 บาท.

Share