คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำร้องของจำเลยที่อ้างว่าโจทก์ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยโดยวิธีการประกาศหนังสือพิมพ์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการยกข้ออ้างที่ทำให้จำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง การที่จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยก็ชอบที่จะยกข้อคัดค้านในเรื่องผิดระเบียบดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างภายในเวลาไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่จำเลยได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโดยขาดนัดแล้วมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2537 ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,004,613.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงิน 1,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 9 กันยายน 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3615 ตำบลตลาดขวัญ (บางแพรก) อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขายทอดตลาดชำระหนี้ หากไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระแก่โจทก์จนครบถ้วนกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 9,000 บาท
ต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม 2543 จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน ครั้นวันนัดไต่สวน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงงดไต่สวน แล้วมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย จำเลยฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นลงวันที่ 27 สิงหาคม 2546 ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 74/4 หมู่ 11 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร ตามฟ้องโจทก์จริง ซึ่งตั้งอยู่ซอยปัญจมิตร 2 ถนนนวมินทร์ (สุขาภิบาล 1) แต่โจทก์กลับนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ซอยเปรมฤทัย 1 ถนนรามอินทรา ซึ่งมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย โดยมิได้ ตรวจสอบจากสำนักงานเขตให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วทำการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีการประกาศหนังสือพิมพ์ แต่ในชั้นบังคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีกลับส่งหมายบังคับคดีให้แก่จำเลยตามภูมิลำเนาในฟ้องได้ แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาไม่สุจริตใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือบังคับจำเลยอย่างไม่เป็นธรรม การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ปิดประกาศทางหนังสือพิมพ์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและโจทก์ฟ้องคดีนี้ภายหลังมีพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินที่จำนองแล้ว โจทก์ชอบที่จะไปขอรับเงินค่าทดแทนจากกรมโยธาธิการ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยไม่มีอำนาจเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งคำพิพากษาของศาลที่ให้ยึดที่ดินที่ถูกเวนคืนมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เป็นคำพิพากษาที่ขัดต่อกฎหมาย การดำเนินกระบวนพิจารณาทั้งหมดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การยื่นคำฟ้องตลอดจนกระบวนพิจารณา ภายหลังจากนั้นและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เพิกถอนคำสั่งที่ให้ปิดคำบังคับและการบังคับคดีที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องนับแต่นั้น เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองเพื่อจำเลยจะได้ดำเนินการโอนที่ดินจำนองโฉนดเลขที่ 3615 ให้แก่กรมโยธาธิการ หากโจทก์เพิกเฉยให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ศาลชั้นต้นส่งคำร้องไปยังศาลฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า ตามคำร้องเป็นการกล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การยื่นคำฟ้องและกระบวนพิจารณาที่เกี่ยวเนื่องตามมาทั้งหมดเป็นการร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ซึ่งเป็นคนละปัญหากับกรณีที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ยกอุทธรณ์ของจำเลยเพราะเหตุไม่ได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ดังนั้น เมื่อกระบวนพิจารณาที่จำเลยอ้างว่าผิดระเบียบเกิดขึ้นในศาลชั้นต้นย่อมอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นย่อมอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้น จึงให้ศาลชั้นต้นเป็นผู้พิจารณาสั่งคำร้องนี้และมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คำร้องของจำเลยลงวันที่ 27 สิงหาคม 2546 ที่ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าวอ้างได้ไม่ว่าเวลาใดๆ ก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น แม้ตามคำร้องของจำเลยดังกล่าวอ้างว่า โจทก์มิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยตามภูมิลำเนาที่ระบุในคำฟ้อง ซึ่งจำเลยมีที่อยู่ตามภูมิลำเนาในคำฟ้องของโจทก์จริง แต่โจทก์กลับนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปให้จำเลยที่ซอยเปรมฤทัย 1 ถนนรามอินทรา ซึ่งมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย โดยมิได้ตรวจสอบจากสำนักงานเขตให้ถูกต้องเสียก่อนแล้วทำการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีการประกาศหนังสือพิมพ์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการยกข้ออ้างที่ทำให้จำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง จนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา การที่จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยก็ชอบที่จะยกข้อคัดค้านในเรื่องผิดระเบียบดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างภายในเวลาไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่จำเลยได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตามมาตรา 27 วรรคสอง ดังกล่าวด้วย เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่า จำเลยได้แต่งตั้งทนายความมาดำเนินการยื่นคำแถลงขอคัดบรรดาสรรพเอกสารในสำนวนคดีนี้ตลอดจนคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2541 จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างในเรื่องผิดระเบียบตามคำร้องดังกล่าวของจำเลยตั้งแต่วันดังกล่าวแล้ว เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่อ้างว่าผิดระเบียบเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2546 จึงช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่จำเลยได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นแล้ว จำเลยย่อมหมดสิทธิยกขึ้นอ้าง ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ปัญหาข้อดังกล่าวตามคำร้องของจำเลยจึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับไว้พิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ไต่สวน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ฎีกาของจำเลยไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share