แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
หนังสือขอแจ้งความร้องทุกข์กรณีมีการละเมิดลิขสิทธิ์มีข้อความปรากฏอยู่ว่า “… บริษัท อ. ได้รับความเสียหาย โดยปรากฏพบผู้กระทำความผิดดังกล่าว ณ สถานที่ดังนี้… (7) อำเภอกุยบุรี… จึงขอร้องทุกข์ต่อท่านเพื่อโปรดจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำการสอบสวน ตรวจค้น จับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย…” ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นแล้วว่าโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายได้กล่าวหาว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น ลักษณะแห่งความผิด พฤติการณ์ที่ความผิดนั้นได้กระทำลง ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมมีความประสงค์ที่จะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ จึงเป็นคำร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 123 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 31, 70 และ 75 ให้แผ่นวีซีดีภาพยนตร์ของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ และริบบัญชีรายชื่อลูกค้าของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาบริษัท อาร์. เอส. โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งอนุญาต
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานภาพยนตร์ เรื่อง “ตะลุมพุกมหาวาตภัยล้างแผ่นดิน” และ “พันธุ์ร็อกหน้าย่น” ทั้ง 2 เรื่อง มีการอนุญาตให้บริษัทแมงป่อง จำกัด จัดทำภาพยนตร์ดังกล่าวในรูปแบบวีซีดี วีดีโอ และโสตทัศนวัสดุอื่นๆ และบริษัทแมงป่อง จำกัด อนุญาตให้บริษัทยูไนเต็ด โฮม เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ทำการให้เช่าหรือจำหน่ายภาพยนตร์ในรูปแบบดังกล่าว คดีนี้นายประเสริฐ เพชรประดับสุข ผู้รับมอบอำนาจช่วงของโจทก์ร่วม สืบทราบว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์งานภาพยนตร์ของโจทก์ร่วม จึงได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ต่อมาตามวันเวลาเกิดเหตุนายประเสริฐได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปที่ร้านที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการตรวจค้นร้านที่เกิดเหตุ และจับจำเลยในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมประการแรกว่า การร้องทุกข์คดีนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า หนังสือขอแจ้งความร้องทุกข์กรณีมีการละเมิดลิขสิทธิ์มีข้อความปรากฏอยู่ว่า “…บริษัทอาร์. เอส. โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหายโดยปรากฏพบผู้กระทำความผิดดังกล่าว ณ สถานที่ดังนี้…(7) อำเภอกุยบุรี… จึงขอร้องทุกข์ต่อท่านเพื่อโปรดจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำการสืบสวน ตรวจค้น จับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย…” ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นแล้วว่า โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายได้กล่าวหาว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น ลักษณะแห่งความผิด พฤติการณ์ที่ความผิดนั้นได้กระทำลง ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมมีความประสงค์ที่จะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษจึงเป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 123 วรรคสองแล้ว หาใช่เป็นเพียงการแจ้งเบาะแสของการกระทำความผิดตามที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ร่วม ข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมประการต่อมาว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยังมิได้วินิจฉัยถึงความผิดตามฟ้อง แต่เมื่อโจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบจนเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อมิให้คดีต้องล่าช้าและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ต่อไป โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยก่อน โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในทำนองว่า คดีนี้มีการเช่าแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ เรื่อง “ตะลุมพุกมหาวาตภัยล้างแผ่นดิน” ส่วนแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ เรื่อง “พันธุ์ร็อกหน้าย่น” พบบนเคาร์เตอร์ไม่มีการเช่า และจำเลยมีเจตนาทางอาญาในการกระทำความผิดตามฟ้อง เห็นว่า คดีนี้พยานหลักฐานสำคัญที่โจทก์และโจทก์ร่วมใช้ในการพิสูจน์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องคือ แผ่นวีซีดีภาพยนตร์เรื่อง “ตะลุมพุกมหาวาตภัยล้างแผ่นดิน” และ “พันธุ์ร็อกหน้ายน” ทั้ง 2 เรื่อง แต่พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมเท่าที่นำสืบมายังมีความสับสนและมีพิรุธน่าสงสัยเกี่ยวกับแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ของกลาง โดยโจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องในขณะเกิดเหตุมาเบิกความ 3 คน คือ พันตำรวจโทนิรันดร์ ประดิษฐอัสดร นายประเสริฐ เพชรประดับสุข และนายสุนทร แดงโร่ กับมีพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ของกลางมาเบิกความอีก 3 คน คือ พันตำรวจโทสมคิด ไทรทอง ดาบตำรวจมานิตย์ แช่ม และดาบตำรวจโดม ชิณเกตุ ซึ่งพันตำรวจโทนิรันทร์เบิกความว่า พยานทราบเรื่องการเช่าแผ่นวีซีดีภาพยนตร์จากการบอกเล่าของนายประเสริฐโดยพยานไม่ได้เห็นแผ่นวีซีดีภาพยนตร์นั้นมาก่อน ขณะที่นายประเสริฐกับพวกเข้าไปในร้านที่เกิดเหตุพยานรออยู่ข้างนอก มีการตกลงกันว่า นายประเสริฐกับพวกจะต้องล่อเช่าแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมเสียก่อน เพื่อจะได้เห็นว่ามีการกระทำความผิดซึ่งหน้า หลังจากนั้นนายประเสริฐได้กลับออกมาพบพยานและแจ้งว่าเช่าแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ได้แล้ว 2 เรื่อง จำนวน 4 แผ่น โดยให้พยานดูในขณะนั้นด้วยคือ ภาพยนตร์ เรื่อง “ตะลุมพุกมหาวาตภัยล้างแผ่นดิน” กับ “พันธุ์ร็อกหน้าย่น” เมื่อพยานเข้าไปในร้านที่เกิดเหตุ พยานกับนายประเสริฐช่วยกันตรวจสอบแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ที่วางอยู่หน้าร้านที่เกิดเหตุ ไม่ปรากฏว่ามีแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมอยู่ในบริเวณนั้น คนของนายประเสริฐแจ้งว่า แผ่นวีซีดีภาพยนต์ละเมิดลิขสิทธ์จะเก็บอยู่ที่หลังร้านที่เกิดเหตุ แผ่นวีซีดีภาพยนตร์ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมคือแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ของกลาง แต่นายประเสริฐ เพชรประดับสุข เบิกความว่า พยานนำพันตำรวจโทนิรันดร์ไปที่ร้านที่เกิดเหตุ จากนั้นพยานเข้าไปร้านที่เกิดเหตุเพื่อคืนแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ที่เช่ามา 2 ถึง 3 เรื่อง รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “ตะลุมพุกมหาวาตภัยล้างแผ่นดิน” เจ้าหน้าที่ในร้านที่เกิดเหตุได้นำใบประวัติลูกค้ามาตรวจเพื่อรับคืน พยานบอกให้พวกของพยานที่ไปด้วยตรวจดูแผ่นวีซีดีในร้านที่เกิดเหตุว่าละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมหรือไม่ และส่งสัญญาณให้เจ้าพนักงานตำรวจที่รออยู่เข้ามาดำเนินการตามกฎหมาย สำหรับแผ่นวีซีดีภาพยนตร์เรื่อง “พันธุ์ร็อกหน้าย่น” วางอยู่บนเคาร์เตอร์ในร้านที่เกิดเหตุ แผ่นวีซีดีภาพยนตร์ของกลางไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วม และไม่ใช่แผ่นวีซีดีภาพยนตร์ที่ยึดมาได้เพราะแผ่นวีซีดีที่ยึดมานั้นเป็นแผ่นสีขาวระบุชื่อภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ ไว้ โดยใช้ปากกาเขียนไว้ที่แผ่น มีชื่อร้านที่เกิดเหตุระบุอยู่ด้วยบนสติกเกอร์ และปกกระดาษที่อยู่บนแผ่นวีซีดีเป็นของที่ใช้กระดาษพิมพ์ขึ้น ส่วนนายสุนทร แดงโร่ ซึ่งมีชื่อในบัญชีสมาชิกว่าเป็นผู้เช่าแผ่นวีซีดีภาพยนตร์เบิกความว่า พยานเช่าแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ตามรายการที่ปรากฏในบัญชีสมาชิก และแจ้งให้นายประเสริฐทราบว่า แผ่นวีซีดีภาพยนตร์เรื่อง “ตะลุมพุกมหาวาตภัยล้างแผ่นดิน” ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วม เพราะเป็นแผ่นก๊อบปี้ใสๆ ในวันเกิดเหตุนั้น พยานเข้าไปเช่าภาพยนตร์เป็นครั้งที่สอง นายประเสริฐกับเจ้าพนักงานตำรวจเดินตามเข้าไปในเวลาไล่เลี่ยกัน พยานออกจากร้านที่เกิดเหตุโดยไม่ได้นำภาพยนตร์ที่เช่าไปด้วย ดังนี้ คำเบิกความดังกล่าวของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมยังมีข้อความที่ขัดแย้งกันเองอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องช่วงเวลาที่พยานแต่ละคนเข้าไปในร้านที่เกิดเหตุ หรือเหตุการณ์ในขณะที่เกิดเหตุว่ามีการเช่าแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ครั้งที่สองหรือไม่ หรือนายประเสริฐได้นำแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่อง ออกไปให้พันตำรวจโทนิรันดร์ดูหรือไม่ ประการสำคัญคือ แผ่นวีซีดีภายนตร์ของกลางเป็นแผ่นวีซีดีซึ่งอ้างว่ามีการเช่าจากร้านที่เกิดเหตุหรือไม่ เพราะนายสุนทรผู้เช่าแผ่นวีซีดีภาพยนตร์เบิกความทำนองว่า แผ่นวีซีดีภาพยนตร์ที่เช่านั้นมีลักษณะเป็นแผ่นวีซีดีซึ่งแตกต่างจากแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ของกลาง คำเบิกความนี้สอดคล้องกับคำเบิกความของนายประเสริฐ และคำเบิกความของพันตำรวจโทสมคิด ไทรทอง พยานโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนที่ว่า แผ่นวีซีดีภาพยนตร์ที่พยานเห็นในขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจนำมามอบให้ไม่ใช่ลักษณะของแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ ในขณะที่พันตำรวจโทนิรันดร์กลับเบิกความยืนยันว่า เป็นแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ของกลาง โดยมีดาบตำรวจมานิตย์ แช่ม และดาบตำรวจโดม ชิณเกตุ ซึ่งเป็นผู้รับส่งและเก็บเอกสารของกลางก็เบิกความสนับสนุนในทำนองว่า ของกลางคดีนี้มีลักษณะเป็นแผ่นวีซีดีเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ว่า แผ่นวีซีดีภาพยนตร์ดังกล่าว เป็นแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ของกลางจริงหรือไม่เช่นนี้ พยานหลักฐานโจทก์ และโจทก์ร่วมย่อมไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมจริงตามฟ้อง เพราะหากวัตถุพยานเป็นของกลางคดีนี้ นายประเสริฐก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านรับอยู่ว่า เป็นแผ่นวีซีดีแท้ ไม่ใช่เป็นแผ่นวีซีดีที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมย่อมไม่อาจรับฟังว่ามีการกระทำความผิดตามฟ้องได้แต่หากวัตถุพยานไม่ใช่ของกลาง คดีนี้ตามคำเบิกความของนายสุนทร นายประเสริฐ และพันตำรวจโทสมคิดแล้ว ก็เท่ากับว่าโจทก์และโจทก์ร่วมก็ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงยืนยันได้ว่า มีการกระทำความผิดตามฟ้องเช่นกัน กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลยและไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ร่วมอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมข้อนี้ ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน