แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ให้จำคุก 10 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าจำเลยอายุ 16 ปี พิพากษาแก้ โดยลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ให้จำคุก 5 ปี ดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนใจความอย่างเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองสำนวนกับพวกได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงต่อหน้าธารกำนัล ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๘๑, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ.๒๕๑๔ ข้อ ๗
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยสำนวนหลังช่วยจับแขนขาผู้เสียหายให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ สำนวนแรกข่มขืนกระทำชำเรา พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖, ๒๘๑, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ.๒๕๑๔ ข้อ ๗ ลงโทษจำคุกคนละ ๑๐ ปี
จำเลยที่ ๑ สำนวนแรก และจำเลยสำนวนหลังอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นยกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๑ มาปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้อง และแม้การปรับบทลงโทษจำเลยนี้จะเป็นเหตุให้ลักษณะคดีก็ตาม เมื่อจำเลยที่ ๒ ไม่ได้อุทธรณ์ และศาลชั้นต้นได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแก่จำเลยแล้ว ก็ไม่สมควรแก้บทลงโทษตลอดไปถึงจำเลยที่ ๒ ด้วย พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๑ สำนวนแรก และจำเลยสำนวนหลังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรค ๒, ๘๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ พ.ศ.๒๕๑๔ ข้อ ๗ จำเลยสำนวนหลังอายุ ๑๖ ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ ให้จำคุก ๕ ปี
จำเลยที่ ๑ สำนวนแรก และจำเลยสำนวนหลังฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับจำเลยสำนวนหลัง ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานข่มขืนกระทำ ชำเรา ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกมีกำหนด ๑๐ ปี ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยมีอายุ ๑๖ ปี จึงพิพากษาแก้เป็นว่าลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ ให้จำคุก ๕ ปี ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น แล้วแก้โทษจำเลย โดยลดมาตราส่วนโทษให้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยสำนวนหลัง
ส่วนฎีกาจำเลยที่ ๑ นั้นฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน