แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อที่ว่าผู้เสียหายมีส่วนรวมในการประมาทด้วยหรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ต่อสู้ไว้ในคดีอาญา ก็ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคดีแพ่ง
ผู้เยาว์ถูกจำเลยขับรถชนได้รับอันตราย มารดาดำเนินคดีแทนผู้เยาว์โดยฟ้องเรียกค่าเสียหาย มิได้ฟ้องในนามของมารดาเองเป็นการส่วนตัว เท่ากับผู้เยาว์เป็นโจทก์ฟ้องคดีนั่นเอง เมื่อผู้เยาว์ยังมิได้รับความยินยอมจากบิดา จึงเป็นการบกพร่องในเรื่องความสามารถตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 วรรคสอง ศาลมีอำนาจสอบสวนในเรื่องความสามารถของคู่ความและมีคำสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องได้ หาใช่ว่าฟ้องของโจทก์เสียไป เพราะเป็นการดำเนินคดีโดยผู้ไม่มีอำนาจไม่ การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถจึงชอบแล้ว
(ตามวรรค 2 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2518)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์อันเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ โดยประมาท เป็นเหตุให้รถชนโจทก์ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๑๘,๔๑๘ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การร่วมกันว่า จำเลยที่ ๑ มิได้ขับรถด้วยความประมาท โจทก์วิ่งตัดหน้ารถที่จำเลยที่ ๑ ขับอย่างกระชั้นชิด สุดวิสัยที่จะหยุดรถได้ทัน ถ้าฟังว่าจำเลยที่ ๑ ประมาท โจทก์ก็มีส่วนร่วมในความประมาทด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๑๕,๐๖๘ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๗,๕๓๔ บาทให้โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เด็กหญิงเกษรา เนตรสว่าง เป็นบุตรของนางอุบลศรี และนายสมเกียรติ เนตรสว่าง เมื่อฟ้องคดีนี้แล้ว นายสมเกียรติ เนตรสว่างได้ทำหนังสือให้ความยินยอมและให้สัตยาบัน เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามรายกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ ให้เด็กหญิงเกษราแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องความสามารถ โดยให้นายสมเกียรติบิดามาให้ความยินยอมแล้ว ต่อมาวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ โจทก์ได้ยื่นหนังสือให้ความยินยอมของนายสมเกียรติต่อศาล
ศาลฎีกาเห็นว่า เด็กหญิง เกษรามีส่วนร่วมประมาทอยู่ด้วย แต่จำเลยที่ ๑ มีส่วนประมาทมากกว่าเด็กหญิงเกษราและในข้อที่ว่าเด็กหญิงเกษรามีส่วนร่วมในการประมาทด้วยหรือไม่นี้ แม้จำเลยจะมิได้ต่อสู้ไว้ในคดีอาญา ก็ไม่เป็นการตัดสิทธิจำเลยที่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคดีแพ่ง
จำเลยฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เสียไปเพราะเป็นการดำเนินคดีโดยผู้ไม่มีอำนาจมิใช่เป็นการบกพร่องในเรื่องความสามารถที่จะแก้ไขได้ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหานี้โดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า การที่นางอุบลศรี เนตรสว่าง ฟ้องคดีตั้งแต่แรกนั้น นางอุบลศรี มิได้ฟ้องในนามของนางอุบลศรีเองเป็นการส่วนตัว แต่นางอุบลศรีดำเนินคดีแทนเด็กหญิงเกษรา หรืออีกนัยหนึ่งเด็กหญิงเกษราเป็นโจทก์ฟ้องคดีนั่นเอง เมื่อเด็กหญิงเกษรายังมิได้รับความยินยอมจากบิดา จึงเป็นความบกพร่องในเรื่องความสามารถตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๖ วรรค ๒ ศาลย่อมมีอำนาจสอบสวนในเรื่องความสามารถของคู่ความ และมีคำสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถของเด็กหญิงเกษราจึงชอบแล้ว และเห็นว่าจำเลยควรรับผิดใช้ค่าเสียหาย ๑๑,๓๐๐ บาท
พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑๑,๓๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
(รื่น วิไลชนม์ สนับ คัมภีรยส สมชัย ทรัพยวณิช)