คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7581/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยตกลงทำไว้กับโจทก์และที่ศาลพิพากษาตามยอมนั้น หากจำเลยเห็นว่าคำพิพากษาตามยอมมิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง(1)(3)และการอุทธรณ์นั้นจำเลยต้องอุทธรณ์ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามมาตรา 229 เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมภายในกำหนดดังกล่าวย่อมเป็นอันถึงที่สุดและมีผลผูกพันจำเลยที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติโจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับคดีและนำยึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้ จำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์โดยอ้างเหตุว่าสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยตกลงทำกับโจทก์และที่ศาลพิพากษาตามยอม เป็นนิติกรรมอำพรางที่โจทก์ใช้กลอุบายหลอกลวงให้จำเลยหลงทำขึ้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยรวม 11 รายการ จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์อ้างว่า สัญญาประนีประนอมยอมความที่กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2536เป็นนิติกรรมอำพรางที่โจทก์ฉ้อฉลหลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะข้อตกลงที่เป็นจริงคือ โจทก์ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ตามฟ้องและค่าทนายความอีก 2,000 บาท ใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลโดยแบ่งชำระเดือนละไม่น้อยกว่า 20,000 บาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุเพิกถอนการยึดทรัพย์ ให้ยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุที่จะไต่สวนคำร้องจำเลยที่อ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยตกลงทำไว้กับโจทก์และที่ศาลพิพากษาตามยอมนั้น เป็นนิติกรรมอำพรางที่โจทก์ใช้กลอุบายหลอกลวงให้จำเลยหลงทำขึ้นหรือไม่ในข้อนี้หากจำเลยเห็นว่าคำพิพากษาตามยอมมิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138 วรรคสอง(1)(3) และการอุทธรณ์นั้นจำเลยต้องอุทธรณ์ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมในวันที่ 27 กรกฎาคม 2536 เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมย่อมเป็นอันถึงที่สุดและมีผลผูกพันจำเลยที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติโจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับคดีและนำยึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้จำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์โดยอ้างเหตุตามคำร้องได้ คดีไม่มีเหตุที่ต้องไต่สวนคำร้องของจำเลย ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share