แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ฎีกา ข้อ 2 ของโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อ 3แม้จะเป็นข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จึงไม่รับฎีกาโจทก์โจทก์ทั้งสองเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกเหนือที่ปรากฏในสำนวน เป็นการรับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ส่วนฎีกาข้อ 3 นั้นเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยเป็นพยานสำคัญสามารถพิสูจน์ความผิดของจำเลย และจะมีผลให้คดีเปลี่ยนแปลงได้โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177,83,86
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 43)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 46)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นความเท็จคดีมีมูล เป็นการเถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบ เพราะไม่ได้วินิจฉัยเรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานโจทก์เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว จึงมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น