คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3238/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินและใบรับเงินแล้วใช้เอกสารปลอมดังกล่าวแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของโจทก์ร่วม เพื่อปกปิดการกระทำของจำเลยที่ได้ยักยอกเงินบางส่วนของโจทก์ร่วมไป แม้การปลอมเอกสารดังกล่าวจะกระทำภายหลังที่จำเลยยักยอกเงินไปแล้วก็ตามแต่ก็เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับที่จำเลยได้ยักยอกเงินของโจทก์ร่วมไป โดยจำเลยมีเจตนาที่จะใช้เอกสารปลอมที่ทำขึ้นเป็นหลักฐานเพื่อยักยอกเงินของโจทก์ร่วมนั่นเอง ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมกับความผิดฐานยักยอก จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานยักยอกเงินดังกล่าว และศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ที่โจทก์ฎีกาว่าการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมเป็นการกระทำในเวลาต่างกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมกันนั้น เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวระงับไปแล้วฎีกาของโจทก์ในปัญหาดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,265, 268, 91
จำเลยให้การว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง แต่ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 768/2531 ของศาลชั้นต้น ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา สหกรณ์ออมทรัพย์ครูน่าน จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 265 รวม 4 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปีรวม จำคุก 8 ปี จำเลยให้การรับข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม (เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.5) เป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานยักยอกซึ่งมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธิจะฟ้องจำเลยจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)จำเลยคงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม(เอกสารหมาย จ.6) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคหนึ่งเพียงกระทงเดียว ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 2 ปี ลดโทษหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้จัดการของโจทก์ร่วม จำเลยได้ถอนเงินของโจทก์ร่วม โดยซื้อตั๋วแลกเงินจากธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด สาขาน่านรวม 3 ครั้ง เพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของโจทก์ร่วม แล้วจำเลยยักยอกเงินไปบางส่วนส่วนที่เหลือจึงนำไปชำระให้แก่เจ้าหนี้ของโจทก์ร่วม เมื่อเจ้าหนี้ของโจทก์ร่วมได้รับชำระหนี้ ก็จะออกใบรับเงินให้แก่จำเลย จำเลยปลอมเอกสารทั้งหมดดังกล่าวและใช้เอกสารปลอมแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของโจทก์ร่วม สำหรับความผิดฐานยักยอกโจทก์ได้ฟ้องและศาลพิพากษาลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุดแล้ว เห็นว่า การที่จำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินกับใบรับเงินและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว(เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.5) นั้น ก็โดยเจตนาเพื่อให้เป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยได้รับเงินจากธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัดสาขาน่าน และได้ส่งเงินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของโจทก์ร่วมเรียบร้อยแล้วทั้งนี้ เพื่อปกปิดการกระทำของจำเลยที่ได้ยักยอกเงินบางส่วนของโจทก์ร่วมไป แม้การปลอมเอกสารดังกล่าวจะกระทำภายหลังที่จำเลยยักยอกเงินไปแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับที่จำเลยได้ยักยอกเงินของโจทก์ร่วมไปโดยจำเลยมีเจตนาที่จะใช้เอกสารปลอมที่ทำขึ้นเป็นหลักฐานเพื่อยักยอกเงินของโจทก์ร่วมนั่นเอง ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมกับความผิดฐานยักยอกจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานยักยอกเงินดังกล่าวและศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
ที่โจทก์ฎีกาว่าการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมเป็นการปลอมและใช้ในเวลาต่างกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมกันนั้นเห็นว่าเมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่าความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมเป็นกรรมเดียวกับความผิดข้อหายักยอกซึ่งโจทก์ได้ฟ้องจำเลยในข้อหายักยอกและศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมในคดีนี้อีกฎีกาของโจทก์ในปัญหาดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดี เพราะไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเป็นอย่างอื่นได้ จึงไม่วินิจฉัยฎีกาโจทก์
พิพากษายืน

Share