แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
รถที่โจทก์เช่าซื้อจากจำเลยเจ้าพนักงานไม่ต่อทะเบียนให้เพราะ สภาพรถที่ปรากฏในทะเบียนกับตัวรถไม่ตรงกัน ถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา เพราะโจทก์ไม่สามารถใช้หรือรับประโยชน์จากรถพิพาท ตามวัตถุประสงค์แห่งสัญญาได้ การที่โจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้อจะว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้ การที่จำเลยยึดรถคืน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินค่าเช่าซื้อ ที่ส่งให้จำเลยไปแล้วคืนได้ แต่จำเลยก็มีสิทธิได้ค่าใช้รถพิพาทจาก โจทก์ระหว่างที่โจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์รถอยู่ โดยหักจากเงินที่ จำเลยต้องส่งคืนโจทก์
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าซื้อจำนวน 37,000 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2519 โจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียนก.ท.ห – 7066 รายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 ว่า รถที่นำมาให้โจทก์เช่าซื้อเป็นรถของจำเลย ซึ่งความจริงไม่ใช่ของจำเลย แต่เป็นรถที่จำเลยเช่าซื้อมาจากนายนาวี เราพัฒนานนท์ และนายนาวีเช่าซื้อมาจากนายสุพจน์ กาญจนรัตน์มณี เมื่อโจทก์จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทแล้ว จำเลยได้มอบให้โจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์ โจทก์ได้นำรถไปรับจ้างรับส่งคนโดยสาร ต่อมาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2520 จำเลยกับพวกไปยึดรถคืนจากโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2520 โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 37,000 บาท คดีมีปัญหาว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า รถที่โจทก์เช่าซื้อค้างชำระค่าภาษีประจำปีจำเลยมอบทะเบียนรถพิพาทและแบบพิมพ์เรื่องราวขอต่อทะเบียนให้โจทก์ไปจัดการต่อทะเบียน โจทก์ไปติดต่อกับกองทะเบียนยานพาหนะจังหวัดฉะเชิงเทราแล้ว เจ้าพนักงานจัดการต่อทะเบียนให้ไม่ได้เพราะทะเบียนรถพิพาทเป็นรถสี่ล้อแต่ตัวรถเป็นรถหกล้อ โจทก์จึงนำทะเบียนและแบบพิมพ์ไปคืนจำเลย และบอกให้จำเลยจัดการต่อทะเบียนให้เรียบร้อย มิฉะนั้นโจทก์จะไม่ส่งค่าเช่าซื้อให้จำเลย จำเลยจัดการต่อทะเบียนให้ไม่ได้โจทก์ไม่ชำระราคาค่าเช่าซื้อให้ วันที่ 15 พฤษภาคม 2520 จำเลยกับพวกไปยึดรถยนต์พิพาทคืนจากโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ต่อทะเบียนรถไม่ได้เนื่องจากสภาพรถที่ปรากฏในทะเบียนกับตัวรถไม่ตรงกันเจ้าพนักงานจึงไม่ต่อทะเบียนให้นั้น ถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา เพราะทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้หรือรับประโยชน์จากรถพิพาทตามวัตถุประสงค์แห่งสัญญาตามเอกสารหมาย จ.1 หากโจทก์นำรถออกใช้อาจถูกเจ้าพนักงานจับฐานผิดพระราชบัญญัติรถยนต์ได้ ฉะนั้นการที่โจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยจะว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้ การที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ชำระค่าซื้อและยึดรถคืนทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่ส่งให้จำเลยไปแล้วคืนได้แต่อย่างไรก็ตาม จำเลยก็ได้ส่งมอบรถพิพาทให้โจทก์ครอบครอง โจทก์ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากรถพิพาทแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิได้ค่าใช้รถพิพาทระหว่างที่โจทก์ครอบครองอยู่ ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้ในอัตราเดือนละ 3,000 บาท โจทก์ครอบครองรถตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2519 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2520 เป็นเวลา 7 เดือน 25 วัน คิดเป็นค่าใช้รถ23,500 บาท โจทก์ส่งเงินให้จำเลยไปแล้ว 37,000 บาท จำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์ 13,500 บาท
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ 13,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จค่าฤชาธรรมเนียมสามศาลเป็นพับ”