แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า เจ้าพนักงานบังคับคดี ไม่ควรขายที่ดินที่ถูกยึดแปลงที่ 8 และแปลงที่ 9 กับแปลงที่ 10และแปลงที่ 11 รวมกัน เพราะถ้าแยกขายแปลงที่ 8 และแปลงที่ 9 จะทำให้รายได้ในการขายเพิ่มขึ้นกว่าการขายรวมกัน และการขายแปลงที่ 10 กับแปลงที่ 11 รวมกันทำให้ ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ขายเป็นเงินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละเท่าไร เพราะที่ดินแปลงที่ 10 มีชื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่แปลงที่ 11 จำเลยที่ 3มีกรรมสิทธิ์เพียงคนเดียว เมื่อปรากฏว่า ในวันขายทอดตลาดนั้นจำเลยที่ 2 ที่ 3 มาดูแลการขายด้วย และยังได้คัดค้านการรวมขายที่ดินแปลง ที่ 8 และแปลงที่ 9 กับแปลงที่ 10และแปลงที่ 11 แล้ว แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่บันทึกไว้และบอกให้ไปร้องต่อศาลเอง กรณีเท่ากับว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมปฏิบัติตามคำคัดค้านของจำเลยที่ 2ที่ 3 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ชอบที่จะต้องไปยื่นคำร้องขอต่อศาลขอให้มีคำสั่งชี้ขาดเสียภายในสองวัน นับแต่วันที่ เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิเสธคำคัดค้านของจำเลยที่ 2 ที่ 3ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 วรรคท้ายเมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องต่อศาล เสีย ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะยกเป็นเหตุคัดค้านภายหลังไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ ย่อมมีสิทธิซื้อที่ดินที่จำนองเป็นประกันไว้แก่โจทก์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลเพื่อชำระหนี้โจทก์ได้ตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505มาตรา 12(4)(ข)
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 13,955,609,92 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12ต่อปี ในต้นเงิน 12,893,731.70 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 3 ยอมร่วมรับผิดชำระเงินดังกล่าวเพียง 1,735,356.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเดียวกันของต้นเงิน 1,640,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จโดยจำเลยทั้งสามยอมผ่อนชำระเงินให้แก่โจทก์ หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดยอมให้บังคับคดีได้ทันทีโดยยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์สินจำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน ต่อมาจำเลยทั้งสามผิดนัด โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 รวม 11 แปลง เพื่อขายทอดตลาด ต่อมาวันที่ 1 พฤศจิกายน 2533 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่โจทก์นำยึดทั้งหมด และเฉพาะที่ดินแปลงที่ 4 ถึงแปลงที่ 11 โจทก์เป็นผู้ซื้อได้
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องว่า โจทก์ตั้งตัวแทนประมูลซื้อที่ดินแปลงที่ 4 ถึงแปลงที่ 11 โดยไม่ชอบเนื่องจากประมูลซื้อราคาต่ำกว่าที่เป็นจริง และเจ้าพนักงานบังคับคดีที่เคาะไม้เพื่อช่วยเหลือโจทก์ เป็นการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนกฎหมายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้คัดค้านราคาขายไว้แล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินแปลงที่ 10ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันโดยไม่ได้แยกส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกจากกันก่อน จึงเป็นการบังคับคดีโดยไม่ชอบและขายที่ดินแปลงที่ 10 และแปลงที่ 11 รวมกันไปทั้งที่การขายที่ดินแปลงที่ 11 แปลงเดียวก็สามารถชำระหนี้ของจำเลยที่ 3 ได้ครบถ้วน ทำให้จำเลยที่ 3 เสียเปรียบ จึงทำการคัดค้านการขายทอดตลาดดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องแยกขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทีละแปลง ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินแปลงที่ 7, 8, 9, 10 และ 11
โจทก์คัดค้านว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดโดยชอบแล้ว สำหรับการขายทอดตลาดที่ดินแปลงที่ 10 และแปลงที่ 11คือโฉนดเลขที่ 14.05 และ 14.06 นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่ได้คัดค้านให้แยกขายการขายทอดตลาดจึงเป็นการชอบ จำเลยที่ 3ต้องรับผิดชอบตามคำพิพากษาต่อโจทก์ถึงวันขายทอดตลาดเป็นเงิน 3,379,388.49 บาท โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์มีสิทธิซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้ต่อโจทก์จากการขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 มาตรา 12(4)(ข) การที่โจทก์ประมูลซื้อที่ดินแปลงที่ 4 ถึงแปลงที่ 11 จึงเป็นการซื้อจากการขายทอดตลาดโดยชอบ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหา ตามฎีกาของจำเลยที่ 2และที่ 3 ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ควรขายที่ดินที่ถูกยึดแปลงทิ่ 8และแปลงที่ 9 กับแปลงที่ 10 และแปลงที่ 11 รวมกันเพราะถ้าแยกขายแปลงที่ 8 และแปลงที่ 9 จะทำให้เงินรายได้ในการขายเพิ่มขึ้นกว่าการขายรวมกัน และการขายแปลงที่ 10กับแปลงที่ 11 รวมกันทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ขายเป็นเงินของจำเลยที่ 2 และที่ 3คนละเท่าไร เพราะที่ดินแปลงที่ 10 มีชื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่แปลงที่ 11 จำเลยที่ 3เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงคนเดียวนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า ในวันขายทอดตลาดนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้มาดูแลการขายด้วย และยังปรากฏ ตามคำเบิกความของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เองว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3ได้คัดค้านการรวมขายที่ดินแปลงที่ 8 และแปลงที่ 9 กับแปลงที่ 10และแปลงที่ 11 แล้ว แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่บันทึกไว้และบอกให้ไปร้องขอต่อศาลเอง ดังนี้กรณีเท่ากับว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมปฏิบัติตามคำคัดค้านของจำเลยที่ 2และที่ 3 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ชอบที่จะต้องไปยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งชี้ขาดเสียภายในสองวัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิเสธคำคัดค้านของจำเลยที่ 2 และที่ 3ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 วรรคท้ายเมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องต่อศาลเสียภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะยกเป็นเหตุคัดค้านภายหลังไม่ได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ ย่อมมีสิทธิซื้อที่ดินซึ่งจำนองเป็นประกันหนี้ไว้ต่อโจทก์จากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลเพื่อชำระหนี้โจทก์ได้ ตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์พ.ศ. 2505 มาตรา 12(ข) การซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของโจทก์ในครั้งนั้นเป็นการซื้อทรัพย์จำนองเป็นประกันหนี้ที่จำเลยที่ 2และที่ 3 มีต่อโจทก์ และเป็นการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลจึงเป็นการซื้อโดยชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน